ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน 29 มีนาคม 2024, 01:56:51 AM
หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ข่าว: การบริจาคเงินเข้าวัดโฆสิตาราม (สำคัญโปรดอ่าน) http://www.watkositaram.com/forum/index.php?topic=204.0

+  กระดานสนทนา วัดโฆสิตาราม (บ้านแค) จ.ชัยนาท
|-+  ทั่วไทย
| |-+  พระเกจิอาจารย์จังหวัดชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี สุพรรณบุรี
| | |-+  ประวัติและวัตถุมงคล หลวงพ่อเกิด วัดเขาดิน อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้ « หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ประวัติและวัตถุมงคล หลวงพ่อเกิด วัดเขาดิน อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท  (อ่าน 54976 ครั้ง)
ฝุ่นดิน
สืบสานประวัติศาสตร์และส่งเสริมความภาคภูมิใจในระดับท้องถิ่น
Register Member
Full Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 130


084-7208460


« เมื่อ: 27 พฤษภาคม 2010, 06:00:28 PM »

ในอดีตย้อนไปซัก 40-50 ปีในแถบหนองมะโมงนี้ค่อนข้างจะทุรกันดาร หรือแทบจะเรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ไกลปืนเที่ยง ด้วยสภาพพื้นที่ที่ชุกชุมไปด้วยชุมโจรปล้นวัวปล้นควายประกอบกับเป็นพื้นที่ห่างไกลความเจริญ ไกลหมอ ไกลเจ้าหน้าที่บ้านเมือง สิ่งหนึ่งที่ถือได้ว่าเป็นที่พึ่งในยามตกทุกข์ได้ยากของคนทุกชนทุกชั้นในละแวกนั้นไม่ว่าจะเรื่องเจ็บป่วย ผีเข้าเจ้าสิง ถูกกระทำย่ำยี ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล วัวหายควายพลัด มีเหตุลักขโมย ถูกประทุษร้าย และอีกหลากหลายปัญหานานับประการ ที่ชาวบ้านต้องการที่อาศัยพึ่งพิง ผิสำคัญบุคคลผู้นั้นมิใช่อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ หรือผู้มียศถาบรรดาศักดิ์มาจากไหน แต่กลับเป็นพระภิกษุรูปหนึ่งซึ่งมีปฏิปทาเคร่งครัดน่าเลื่อมใสและมีวิทยาบารมี พอเป็นที่ผ่อนปรนบรรเทาทุกข์โศกสงเคราะห์สังคมโลกให้ร่มเย็นเป็นสุขได้ ภิกษุรูปนั้นชาวบ้านคุ้นปากกันในนาม “หลวงพ่อเกิด” 


* wkd.000.jpg (43.37 KB, 500x667 - ดู 40671 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ฝุ่นดิน
สืบสานประวัติศาสตร์และส่งเสริมความภาคภูมิใจในระดับท้องถิ่น
Register Member
Full Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 130


084-7208460


« ตอบ #1 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2010, 12:36:28 PM »

    หลวงพ่อเกิด หรือพระครูอุดมชัยกิจ เจ้าอาวาสวัดเขาดิน ต.หนองมะโมง อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท นามเดิม บุญเกิด จันทรา เป็นบุตรของนายกรม จันทรา นางสี จันทรา เกิดเมื่อวันที่ ๔ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๕ ณ บ้านเขาดิน ต.หนองมะโมง อ.หนองมะโมง จ.ชัยนาท อุปสมบทเมื่อ วันที่ ๕ ธ.ค. พ.ศ.๒๔๙๕ ณ พัทธสีมาวัดเขาดิน โดยมีพระครูสิงหชัยสิทธิ์(ชะอ้อน) วัดพาณิชย์ ต.วัดสิงห์ อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการสมทบ วัดศรีสโมสร ต.กุดจอก อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการบรรจง วัดเขาดิน ต.หนองมะโมง อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า “ปัณฑิโต” หมายถึง “ผู้เป็นบัณฑิตมีปัญญาฉลาดรอบรู้”


* P3100052.jpg (54.93 KB, 500x667 - ดู 30484 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ฝุ่นดิน
สืบสานประวัติศาสตร์และส่งเสริมความภาคภูมิใจในระดับท้องถิ่น
Register Member
Full Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 130


084-7208460


« ตอบ #2 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2010, 12:54:27 PM »

     ในปี 2495 หลังจากอุปสมบทแล้วได้จำพรรษาฉลองศรัทธาโยมบิดา โยมมารดา ณ วัดเขาดิน และพอดีในปีนั้นนั่นเองท่านเจ้าขุนวาปินทร์ปรีชา( เจ้าขุนเล็ก )ศิษย์ก้นกุฏิหลวงปู่ศุขที่เป็นศิษย์ฆราวาสรุ่นอาวุโสอีกท่านหนึ่ง ได้จัดให้มีงานไหว้ครูเสาร์ 5 ขึ้นในวาระนี้ท่านขุนวาปินทร์ได้เปิดโอกาสให้บุคคลผู้มีความสนใจใฝ่ศึกษาเวทย์วิทยาต่างๆ ได้เข้ามาศึกษาและประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ด้วยตัวท่านเอง ซึ่งมีอยู่หลากหลายวิชาให้ได้เลือกศึกษาตามความสนใจ เช่น เสกหุ่นพยนต์ชกกัน เสกข้าวสารเป็นกุ้ง เสกใบมะขามเป็นต่อเป็นแตนในคราวนั้นมีผู้สนใจเข้าไปศึกษาหลายคนแต่มีผู้สำเร็จและได้รับการประสิทธิ์ประสาทวิชาจากท่านเจ้าขุนไม่กี่คนแล้วแต่วาสนาบารมี หลวงพ่อท่านเลือกเรียนวิชาเฑาะว์มหาปราบ วิชาเสกหมาก และทำน้ำมนต์แก้พิษหมาบ้า และท่านก็สามารถทำได้สำเร็จและได้รับการประสิทธ์ประสาทจากเจ้าขุนวาปินทร์ ซึ่งในคราวนั้นมีท่านเพียงรูปเดียวที่ได้รับการครอบครูวิชานี้ หลังจากที่ท่านสำเร็จวิชานี้แล้วไม่ว่าท่านจะไปอยู่ที่ไหน ย่อมจะมีหมาบ้าตามไปทุกที่ ท่านจึงต้องทำน้ำมนต์ทิ้งไว้เพื่อสงเคราะห์แก่สัตว์เหล่านั้น


* P3170028.jpg (48.5 KB, 600x800 - ดู 36982 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ฝุ่นดิน
สืบสานประวัติศาสตร์และส่งเสริมความภาคภูมิใจในระดับท้องถิ่น
Register Member
Full Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 130


084-7208460


« ตอบ #3 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2010, 01:01:19 PM »

ในปี 2496  ท่านจึงไปศึกษาพระปริยัติธรรมและกรรมฐานเบื้องต้นในสำนักวัดสิงห์ในสมัยที่พระครูชะอ้อนองค์อุปัฌชาย์เป็นเจ้าสำนัก พระครูชะอ้อนท่านนี้เป็นเถระผู้ใหญ่รูปหนึ่งซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดกับองค์หลวงปู่ศุข แห่งวัดปากคคลองมะขามเฒ่าและพระครูชะอ้อนท่านนี้แหละที่เป็นแม่งานใหญ่ในการจัดการงานศพหลวงปู่ศุข ด้วยความใกล้ชิดทั้งพระครูชะอ้อนและอาจารย์ฆราวาสในละแวกบ้านตลาดวัดสิงห์อีกหลายท่านที่เป็นศิษย์สายตรงในองค์หลวงปู่ศุข ประกอบกับความใฝ่รู้ หลวงพ่อท่านจึงได้ซึมซับศึกษาสรรพวิทยาการในสายหลวงปู่มาพอสมควร ทั้งวิชาปรอท วิชาเสกขี้ผึ้ง จากหมอเฒ่าสุก อาจารย์ของท่านเสกขี้ผึ้งบนฝ่ามือให้เป็นน้ำได้อย่างอัศจรรย์ ท่านจึงได้เรียนรู้หลักในการใช้ธาตุ ตั้งธาตุต่างๆ นอกจากนี้ยังมีสรรพวิชาและเคล็ดคาถาอีกบางบท ที่ท่านได้ตั้งแต่ในพรรษาต้นๆ อย่างเช่นการทดลองวิชาหายตัว โดยท่านจะต้องถอดเคล็ดวิชาที่ครูเฒ่าให้เป็นปริศนาไว้ ซึ่งตามตำรากล่าวว่าเคล็ดวิชาจะประสิทธิ์หรือไม่ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมีของผู้เรียนหากวาสนาต้องกันก็จะมีปัญญาแตกฉานสามารถคิดอ่านแก้กลบทที่โบราณจารย์วางไว้ได้อย่างถูกต้อง เคล็ดวิชานี้มีปริศนาไว้ว่า “ไม่มีไม้อยู่ใต้กรณีย์” หลวงพ่อท่านจึงเอามาเจริญกรรมฐานใคร่ครวญปรากฏเป็นอักขระสี่ตัวได้อย่างง่ายดาย แสดงถึงวาสนาบารมีที่สั่งสมมาแต่หนหลัง เมื่อท่านได้หัวใจคาถาแล้วท่านจึงทดลองเขียนอักขระหัวใจคาถานั้นลงก้นบาตรแล้วบริกรรมภาวนาไปด้วยในขณะออกบิณฑบาต ปรากฏว่าเช้าวันนั้นชาวบ้านใส่บาตรข้ามท่านไปหมดเสมือนมองไม่เห็นท่าน สร้างความประหลาดใจแก่หมู่เพื่อนภิกษุที่ร่วมออกภิกขาจารด้วยกัน และในปีเดียวกันนี้ท่านมีโอกาสได้พบกับ อาจารย์ชื้นศิษย์สำนักเขาสาลิกา และอาจารย์ชื้นท่านนี้เองที่เป็นผู้เชื้อเชิญให้ท่านได้ไปนมัสการหลวงพ่อเขาสาลิกา ที่สำนักเขาสาลิกา จ.ลพบุรี ท่านเล่าว่าหลวงพ่อเขาสาลิกาท่านไม่พูด ท่านจุดเทียนตั้งไว้ 6 เล่มแล้วใช้มือดับทีละเล่มจนเหลือเทียนเล่มเดียวท่านจึงหยิบเทียนเล่มนั้นขึ้นมานั่งเพ่งเท่านั้น ท่านว่าเป็นปริศนาธรรมเกี่ยวกับการสอนเรื่องอายตนะภายใน-ภายนอก เมื่อหลวงพ่อได้พบได้เห็นปฏิปทาเช่นนั้นประกอบกับได้ยินได้ฟังวัตรปฏิบัติที่ไม่เหมือนใครและอิทธิปาฏิหาริย์ที่สุดแสนจะพิสดารของหลวงพ่อเขาสาลิกาก็ทำให้ท่านเกิดความเคารพเลื่อมใสจึงได้สมาทานตัวเป็นศิษย์เรื่อยมา


* index.jpg (49.94 KB, 500x625 - ดู 29906 ครั้ง.)

* 23.jpg (135.13 KB, 500x375 - ดู 29828 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ฝุ่นดิน
สืบสานประวัติศาสตร์และส่งเสริมความภาคภูมิใจในระดับท้องถิ่น
Register Member
Full Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 130


084-7208460


« ตอบ #4 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2010, 01:12:17 PM »

แม้ท่านจะไม่ได้ฝากตัวเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อโอภาสีโดยตรง แต่ท่านก็นับถือหลวงพ่อโอภาสีเป็นครูบาอาจารย์ของท่านอีกรูปหนึ่งซึ่งมีวัตรปฏิบัติคล้ายกันกับหลวงพ่อเขาสาลิกาเชื่อกันว่าท่านทั้ง 2 รูปสามารถสื่อถึงกันได้ ความสัมพันธ์ระหว่างหลวงพ่อกับหลวงพ่อโอภาสีนี้ผู้เขียนได้เรียนถามท่านแล้ว ท่านว่าได้พบปะพูดคุยกันธรรมดาที่อาศรมบางมด และยังกล่าวอีกว่าที่อาศรมบางมดมีรูปปั้นและสัญลักษณ์ต่างๆที่เป็นปริศนาธรรม ไม่ว่าใครจะนับถือศาสนาอะไรมาจากไหนหลวงพ่อโอภาสีท่านสามารถสอดแทรกคำสอนลงไปได้หมด เรื่องการแจกพระธาตุอีกเรื่องท่านว่าคนจะมามากสักเท่าไรหลวงพ่อโอภาสีท่านก็แจกได้ครบทุกคนไม่มีหมด วัตถุมงคลบางอย่างเป็นต้นว่า รูปสรงน้ำ แผ่นยันต์อิติสุคะโตฯ เหรียญพลาสติก และลูกแก้ว ผู้เขียนยังเห็นตกค้างอยู่ที่วัดเขาดินจำนวนหนึ่ง วัตถุมงคลบางอย่างท่านก็นำมาถอดแบบ เช่น เหรียญพลาสติกของหลวงพ่อโอภาสีท่านก็นำมาถอดแล้วพิมพ์ด้วยเนื้อดินผสมว่านในปี2508 รูปหลวงพ่อในยุคแรกๆก็ยังพบว่าทำเป็นรูปถ่ายประกบกันกับหลวงพ่อโอภาสี แต่รูปประกบกับหลวงพ่อเขาสาริกายังไม่เคยพบ


* wkd.001.jpg (54.82 KB, 500x667 - ดู 30574 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ฝุ่นดิน
สืบสานประวัติศาสตร์และส่งเสริมความภาคภูมิใจในระดับท้องถิ่น
Register Member
Full Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 130


084-7208460


« ตอบ #5 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2010, 01:13:31 PM »

ปี 2497 ได้พบกับ อ.เฉลิม ซึ่งในขณะนั้น อ.เฉลิม กำลังทำการเผยแพร่วิชา 12 ภาษาปรากฎมีผู้สนใจศึกษากันพอสมควร ในคราวนั้นหลวงปู่พิมพา วัดหนองตางู จ.นครสวรรค์ ก็ได้เข้าร่วมศึกษาด้วย แต่วิชานี้เมื่อหลวงพ่อท่านได้นำมาใคร่ครวญแล้ว ปรากฏว่าตรงกันกับตำราเก่า ของพระธุดงค์ทั้ง4 ที่มาพำนักตั้งแต่ปี 2460-2462 ทั้ง4ท่านล้วนแต่เป็นศิษย์ของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองฯทั้งสิ้น พระธุดงค์ทั้ง4 นี้ถือได้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดวัดเขาดินเลยทีเดียว ท่านได้สร้างรอยพระพุทธบาท และทิ้งตำราเวทย์ต่างๆไว้เป็นปฐมบทให้กุลบุตรผู้สนใจได้ศึกษา เพื่ออนุเคราะห์เกื้อกูลแก่สาธารณะชนคนยาก พอให้ได้เป็นที่พึ่งพิงและศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านสืบต่อไป  วิชา 12 ภาษานี้เป็นวิชาที่ว่ากันว่าผู้ทำสำเร็จจะสามารถทำสมาธิจิตให้ไปสัมผัสกับภพภูมิจิตในระดับต่างๆทั้ง 31 ภูมิได้ แม้ในภูมิมนุษย์เองก็สามารถฟังและสื่อสารกับวิญญาณชาวต่างชาติที่ใช้ภาษาอื่นๆได้ตามที่ภพภูมิจิตไปสัมผัส และที่พิสดารอีกประการหนึ่งก็คือ ใครก็ตามที่มีกรรมเกี่ยวพันกับเราทั้งในอดีตชาติและปัจจุบันชาติเมื่อจะถึงคราวตาย หรือจะประสบเคราะห์กรรมรุนแรง เจตภูติของเขาจะพยายามสื่อให้เราทราบล่วงหน้าได้
บันทึกการเข้า
ฝุ่นดิน
สืบสานประวัติศาสตร์และส่งเสริมความภาคภูมิใจในระดับท้องถิ่น
Register Member
Full Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 130


084-7208460


« ตอบ #6 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2010, 01:17:10 PM »

ปี 2498 ได้ไปศึกษาและปฏิบัติกรรมฐานตามแนวทางของหลวงพ่อเขาสาลิกาอย่างจริงจังกับท่านอาจารย์ชื้น ที่บ้านวัดพระยาตาก อาจารย์ชื้นผู้นี้เป็นศิษย์ฆราวาสคนสำคัญอีกท่านหนึ่งที่สืบสานกรรมฐานสายหลวงพ่อเขาสาลิกา ภายหลังได้บวชและรู้จักกันในนามหลวงพ่อชื้น วัดเขาพลอง หลวงพ่อเกิดได้ศึกษากับท่านอาจารย์ชื้นตั้งแต่อาจารย์ชื้นยังดำรงเพศเป็นฆราวาส ได้ฝึก การแยกรูป –นาม แยกกองกรรมฐานก่อนเป็นอันดับแรก เรียกว่า “ขันธ์สาม” คือพิจารณา เกศา โลมา นะขา.... ฯ ทั้งหมดที่จัดเป็นธาตุดินมารวมกันเป็น ขันธ์ทอง ราคัคคิ พิจารณา บุพโพ โลหิตัง อัสสุ....ฯ ทั้งหมดที่เป็นธาตุน้ำ มารวมกันเป็นขันธ์เงิน โมหัคคิ พิจารณา ไฟยังร่างกายให้อบอุ่น ไฟเผาผลาญอาหารให้ย่อย ..ฯทั้งหมดที่จัดเป็นธาตุไฟ มารวมกันเป็นขันธ์นาก โทสัคคิ รู้เหตุแห่งการเกิดเห็นความไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน จากนั้นพิจารณาให้เป็นธาตุ และพิจารณาให้เป็นคุณธาตุตามลำดับ ขั้นตอนที่สอง เรียกว่า “ขันธ์ห้า” รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พิจารณาขันธ์ทั้ง 5 ให้เห็นเป็นไตรลักษณ์คือทุกขัง อนิจจัง อนัตตาแต่ทั้ง 5 ประการนี้ยังเป็นทุกข์เป็นโทษอยู่ จึงต้องมีธาตุรู้อีกประการหนึ่งคือ “วิมุติ” ส่วนขั้นสุดท้ายนั้นผู้เรียนจะต้องใช้อำนาจศีล สมาธิ ปัญญาของตนค้นหาความสัจธรรมด้วยตัวเอง และยังมีอยู่อีกขั้นตอนหนึ่งที่เรียกว่า “อัดขันธ์พุทโธ” โดยผู้ปฏิบัติจะต้องภาวนา “พุทโธๆ” ให้ติดต่อกันมิให้ขาดจิต โดยส่วนตัวของหลวงพ่อเองนั้นท่านเล่าว่าท่านภาวนาถึงขนาดที่หงายท้องตึงลงไปทีเดียว ท่านรู้สึกว่ากายละเอียดของท่านแยกออกจากกายหยาบมีอาการเหมือนพุ่งเหาะออกไป จากนั้นจะน้อมนึกไปสถานที่ใดจิตก็จะไปยังสถานที่นั้นในทันที แต่ท่านอาจาร์ชื้น ท่านว่า ตึงไปๆให้พอดีๆมัชชิมาปฎิปทา ลมอัสสาสะและลมปัสสาสะให้เสมอกัน ลมอัสสาสะหายใจเข้า พระสูตร21000 สัญญาเกิด ที่ใต้สะดือสองนิ้ว ลมปัสสาสะ หายใจออก พระวินัย 21000 สัญญาดับ ที่ปลายจมูก พระอภิธรรม 42000 กลางลิ้นปี่ สัญญาไม่เกิดไม่ดับเป็นอมตธรรม ตลอดเวลาที่หลวงพ่อท่านปฏิบัติอยู่นั้นท่านอาจารย์ชื้นจะทำการสอบจิตอยู่เสมอเพื่อมิให้ไขว้เขวผิดแนวทาง


* wkd.002.jpg (51.27 KB, 500x667 - ดู 29717 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ฝุ่นดิน
สืบสานประวัติศาสตร์และส่งเสริมความภาคภูมิใจในระดับท้องถิ่น
Register Member
Full Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 130


084-7208460


« ตอบ #7 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2010, 01:19:15 PM »

ปี 2499– 2500 ออกจาริกธุดงค์ปลีกวิเวกกระทำความเพียรทางจิต โดยมุ่งหน้าไปทางเหนือผ่านขึ้นไปทางนครสวรรค์ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ท่านได้ปักกลดในพื้นที่ อ.ท่าตะโก ตรงกันข้ามกันกับวัดหัวถนนหลังจากปักกลดลงแล้วปรากฏว่ามีชาวบ้านแห่กันมาให้ท่านรักษาเนื่องจากถูกหมาบ้ากัดนับสิบราย ทั้งๆที่ท่านก็เพิ่งมาปักกลดและชาวบ้านก็ยังไม่รู้จักท่านแต่ช่างน่าฉงนว่าชาวบ้านเหล่านั้นทราบได้อย่างไรว่าหลวงพ่อท่านมีวิชาที่สามารถรักษาอาการหมาบ้าได้ วันรุ่งขึ้นท่านย้ายไปปักกลดที่เขาโคกเผ่นและในคืนนั้นนั่นเองปรากฏว่าฝนตกลงมาอย่างหนัก รุ่งเช้าชาวบ้านหัวถนนที่ได้รับการรักษาโรคพิษหมาบ้าบ้างชาวบ้านในละแวกนั้นบ้างต่างพากันมานมัสการหลวงพ่อด้วยความเป็นห่วงด้วยว่าเมื่อคืนฝนฟ้าคะนองอย่างหนักเกรงว่าท่านคงจะเปียกปอนหรืออาจจะป่วยไข้ได้ แต่ทุกคนต่างก็พบกับความพิศวงงงงวย เมื่อปรากฎว่าบริเวณพื้นที่ที่ท่านปักกลดอยู่นั้นไม่มีน้ำฝนสักหยดทั้งๆที่รัศมีโดยรอบมีน้ำขังเจิ่งนองเต็มไปหมด
ปี 2501-2506 กลับมาเยี่ยมโยมบิดามารดาและออกธุดงค์ต่อจนกระทั่งกลับมาพบสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การปฏิบัติและมีนิมิตมหัศจรรย์ให้ต้องจำพรรษาและถือได้ว่าเป็นภิกษุรูปแรกที่เปิดถ้ำเขาตะพาบ จ.อุทัยธานีในถ้ำแห่งนี้หลวงพ่อพบกับความมหัศจรรย์ในโลกวิญญาณมากมายโดยเฉพาะเรื่องพระธาตุ
หลวงพ่อเล่าว่าถ้ำเขาตะพาบแห่งนี้มีความวิจิตรพิสดารเป็นอย่างมาก มีถ้ำมหาสมบัติซึ่งเป็นของลับแลถึง 3 ถ้ำคือถ้ำทอง ถ้ำเงิน และถ้ำนาก ถ้ำทองนั้นมีนกสาลิกาเฝ้า ถ้ำเงินงูสามสีเฝ้า ถ้ำนากมีตะขาบเฝ้า ช่วงเข้าพรรษาหลวงพ่อได้ตั้งปฏิญาณอธิษฐานจิตว่าจะเข้ากรรมฐาน  7 วัน 7 คืนโดยไม่ฉันอาหารเลย แต่ด้วยบรรดาศรัทธาญาติโยมไม่ทราบเจตนารมณ์ของท่าน เมื่อเห็นท่านหายไปชาวบ้านจึงต่างกันตามมาหาท่าน ซึ่งนึกว่าท่านนั่งมรณภาพด้วยความเป็นห่วงจึงต่างกันจับท่านเขย่าบ้างตะโกนเรียกให้ท่านได้ฟื้นคืนสติบ้าง จึงทำให้ท่านต้องถอนออกจากสมาธิ หลังจากนั้นไม่นานท่านเกิดอาการอัมพฤกษ์ปากเบี้ยวพูดไม่ได้ขึ้นมาเฉยๆท่านกำหนดรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุที่ท่านผิดสัจจะที่อธิษฐานไว้นั่นเอง ท่านจึงตั้งสัจจะอธิษฐานใหม่ไม่นานอาการอัมพฤกษ์ก็หายไปเอง


* wkd.003.jpg (54.13 KB, 500x667 - ดู 30467 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ฝุ่นดิน
สืบสานประวัติศาสตร์และส่งเสริมความภาคภูมิใจในระดับท้องถิ่น
Register Member
Full Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 130


084-7208460


« ตอบ #8 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2010, 01:22:23 PM »

ครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่ท่านออกจากกรรมฐาน ในขณะที่ท่านเดินออกมาถึงปากถ้ำ เจ้านกสาลิกาก็บินตกลงมาตายต่อหน้าท่าน ท่านได้ทำการเผาร่างให้ เมื่อกองเพลิงมอดไหม้ลงไปหมดแล้วปรากฏก้อนโลหะสัณฐานเท่าลูกแก้วมีวรรณณะเป็นสีทองสุกปลั่งเป็นที่อัศจรรย์ ภายหลังคดทองนี้ท่านได้บรรจุไว้ในองค์พระประธาน
ต่อมาก่อนที่งูสามสีจะตายนั้น มันก็เลื้อยออกมานอนตายต่อหน้าหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านกำหนดจิตไตร่ตรองดูแล้วจึงพอทราบว่าเจ้างูสามสีซึ่งเป็นงูเจ้าที่ต้องการให้หลวงพ่อแผ่เมตตาและปลดปล่อยวิญญาณให้ หลวงพ่อกำหนดจิตแผ่เมตตาอนุโมทนาบุญกรรมอันเป็นกุศลที่เจ้างูสามสีได้ปฏิบัติหน้าที่และได้ทำการเผาร่างให้ปรากฏว่าเมื่อไฟมอดลงแล้วบังเกิดเป็น คดเงิน ก้อนกลมๆอย่างแปลกประหลาด คดเงินนี้หลวงพ่อได้ทำหัวแหวนแล้วมอบให้น้องชายท่านไป น้องชายท่านได้ครอบครองได้ไม่นานแหวนคดเงินนั้นก็อันตรธานหายไปจึงมาบออกกับหลวงพ่อ เมื่อหลวงพ่อท่านลองไปเปิดตลับที่เก็บคดเงินนั้นไว้แต่เดิม ปรากฏว่าแหวนคดเงินนั้นกลับมาอยู่ที่เก่าได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ ส่วนตะขาบที่เฝ้าถ้ำนากนั้นตามมาตายต่อหน้าหลวงพ่อที่วัดเขาดินนี้เลยทีเดียวแต่ไม่ทราบว่าให้คดไว้หรือไม่
ในระหว่างนั้นท่านได้ไปเชิญพระธาตุที่เขาบางแกรก เหตุเพราะชาวบ้านไล่ยิงเก้งที่วิ่งหนีเข้าไปในถ้ำถ้ำหนึ่งเมื่อเข้าถ้ำไปแล้ว ไม่ว่าชาวบ้านผู้นั้นจะเหนี่ยวไกยิงสักกี่ครั้งดินปืนก็ไม่ทำงาน หลวงพ่อจึงทราบได้ว่ามีของกายสิทธิ์อยู่ในถ้ำ การเดินทางไปเขาบางแกรกในคราวนั้นหลวงพ่อได้พบกับ หลวงพ่อชีปะขาวหายพระผู้ทรงอภิญญาอีกรูปหนึ่งที่ชาวบ้านในละแวกนั้นพบเห็นมาช้านาน แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าท่านเป็นใครมาจากไหน รุ่งเช้าท่านก็มาปรากฏในรูปของพระภิกษุห่มผ้าสีกรักบ้าง บางคราวก็นุ่งขาวห่มขาวแบบชีปะขาวบ้าง ชาวบ้านแปลกใจจึงได้พยามสะกดรอยตามพอถึงริมลำน้ำชาวบ้านก็แอบดูปรากฎว่าเผลอแผลบเดียวหลวงพ่อท่านข้ามไปฝั่งโน้นได้ในพริบตาชาวบ้านจึงเรียกกันว่าหลวงพ่อชีปะขาวหาย ในระหว่างที่ท่านเจริญกรรมฐานอยู่นั้นหลวงพ่อชีปะขาวก็จำแลงเป็นพญานาคมาในนิมิตหลวงพ่อสามารถหยั่งรู้ได้ด้วยสมาธิจิตว่านี่คือวิญญาณธาตุของหลวงพ่อชีปะขาว จึงได้ใช้วิถีจิตติดต่อพูดคุยกัน หลวงพ่อชีปะขาวบอกสถานที่ที่เก็บรักษาพระธาตุรวมทั้งของกายสิทธิ์ต่างๆ สุดท้ายท่านแนะนำหลวงพ่อว่า “อย่าติดฌานนะคุณ เดี๋ยวจะต้องเฝ้าสมบัติอย่างผม”
ปี 2507 ชาวบ้านและบรรดาญาติโยมจึงได้ร่วมใจนิมนต์ท่านมาจำพรรษา ณ วัดเขาดินท่านจึงได้ทำการปกครองวัดเขาดินตั้งแต่นั้นสืบมาจนถึงปัจจุบันและนับได้ว่าเป็นเจ้าอาวาสรูปแรกที่ดำรงตำแหน่งได้นานที่สุด เนื่องจากก่อนหน้านั้นเจ้าอาวาสแต่ละรูปล้วนมีเหตุให้สึกหาลาเพศไปด้วยเหตุต่างๆ ว่ากันว่าเจ้าเขาแห่งนี้แรงนักแต่ท่านก็แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ว่าท่านสามารถปกครองได้ทั้งส่วนที่เป็นรูปธรรม-และนามธรรม จนกระทั่งก่อให้เกิดความเจริญตราบเท่าปัจจุบัน


* wkd.004.jpg (58.02 KB, 500x667 - ดู 29499 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ฝุ่นดิน
สืบสานประวัติศาสตร์และส่งเสริมความภาคภูมิใจในระดับท้องถิ่น
Register Member
Full Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 130


084-7208460


« ตอบ #9 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2010, 01:32:15 PM »

วัดเขาดินนี้เดิมทีเชื่อกันว่าเป็นสถานที่อาถรรพ์ หากผู้ที่อยู่อาศัยประพฤติตนไม่เหมาะสมเป็นสมณะไม่เอาใจใส่ใฝ่กุศลแล้วไซร้ ย่อมมีเหตุการณ์เป็นไปต่างๆนานาหนักบ้างเบาบ้างมักประจักษ์ให้เห็น  หลวงพ่อท่านว่าแต่ก่อนวิญญาณที่วนเวียนสถิตเสถียรอยู่ในสถานที่แห่งนี้มีภพภูมิจิตอยู่ในชั้นปรนิมมิสวัตสวตี ซึ่งมีอำนาจจิตที่มีฤทธิ์พอสมควรสามารถจำแลงแปลงร่างให้เป็นไปในรูปร่างต่างๆได้ และยังเป็นภพภูมิที่ให้คุณให้โทษได้อยู่ หากจิตของผู้อาศัยตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลสโลกีย์แล้วไซร้ เจ้าที่จักแสดงตนให้โทษ  แต่ถ้าหากผู้อยู่อาศัยเอาใจใส่บำเพ็ญภาวนามีระดับจิตสูงกว่าชั้นปรนิมฯ เจ้าของสถานที่ก็จักนำพาประโยชนมาให้ แต่ด้วยอานิสงค์แห่งกุศลผลบุญที่หลวงพ่อท่านแผ่เมตตาอนุโมทนาอุทิศให้ยังผลให้ดวงจิตของเจ้าของสถานที่นั้นยกระดับขึ้นสู่ชั้นอาภัสรา ภายหลังจึงได้หยุดรบกวนและอยู่ร่วมกันอย่างสันติเรื่อยมา
เกี่ยวกับความอัศจรรย์ของเขาดินนี้หลวงพ่อเล่าว่ามีอยู่คราวหนึ่งมีเด็กสาวซึ่งเป็นลูกสาวของชาวบ้านในละแวกนั้นเข็นรถใสขึ้นมาถึงบนยอดเขานี้เลยทีเดียวซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติเพราะไม่ใช่วิสัยของหญิงสาวร่างเล็กจะมีพละกำลังเข็นรถใสขึ้นมาบนยอดเขาที่สูงชันนี้ได้โดยง่าย หลวงพ่อท่านจึงได้ทักขึ้นและไต่ถามว่ามีความเป็นมาอย่างไร หญิงสาวเรียนกับหลวงพ่อว่า ตนใสรถผ่านตีนเขามองเห็นสองข้างทางเต็มไปด้วยสวนดอกไม้เบ่งบานงามตารู้สึกเจริญตาเจริญใจเป็นที่สุดจึงได้เข็นรถใสตามทางมาอย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งหลวงพ่อทักขึ้น ตนจึงตกใจเท่านั้นเองสวนดอกไม้งามตาทั้งสองข้างทางก็อันตรธานหายไปในพริบตา แต่ปรากฏเป็นยอดเขาดินแห่งนี้แทนพอกลับมาสู่โลกของความจริงแล้วเธอก็ไม่สามารถเข็นรถใสลงมาได้ต้องให้ผู้เป็นบิดามารับลงไป
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของหน่อทองที่ผุดงอกขึ้นมาเอง หน่อทองนี้หลวงพ่อท่านว่าเป็นสมบัติแผ่นดินบัดนี้สูงเคียงเข่าแล้ว แต่สมบัตินี้เป็นของชาวลับแล ซึ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อ เมื่อถึงเวลาอันควรแล้วจะเป็นประโยชน์ต่อผืนแผ่นดินต่อไป


* wkd.03.jpg (46.73 KB, 500x649 - ดู 29285 ครั้ง.)

* wkd.04.jpg (51.01 KB, 500x728 - ดู 29374 ครั้ง.)

* wkd.00.jpg (54.74 KB, 500x760 - ดู 33148 ครั้ง.)

* wkd.02.jpg (53.13 KB, 500x717 - ดู 33418 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ฝุ่นดิน
สืบสานประวัติศาสตร์และส่งเสริมความภาคภูมิใจในระดับท้องถิ่น
Register Member
Full Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 130


084-7208460


« ตอบ #10 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2010, 01:35:12 PM »

ในด้านของการพัฒนาในศาสนกิจนั้นท่านได้ทำหน้าที่โดยมิได้ขาดตกบกพร่อง ทั้งทางด้านคันถะธุระ ( การศึกษาและเผยแพร่) และวิปัสสนาธุระ (การฝึกจิตเพื่อความหลุดพ้นทางใจ) สิ่งเหล่านี้เป็นความตั้งใจจริงของท่านที่จะทำการเผยแพร่ให้ถึงที่สุด จนเป็นที่ถูกพระทัยแก่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (ฟื้น ชุตินธโร) วัดสามพระยา ก.ท.ม. เป็นอย่างยิ่ง
ในปี พ.ศ.๒๕๑๙ สมเด็จพระพุทฒาจารย์ท่านได้ได้มีพระเมตตาเป็นองค์ประธานฉลองอุโบสถวัดเขาดิน แลในปีเดียวกันหลวงพ่อเกิดได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์และเจ้าคณะตำบลกุดจอกตำบลหนองมะโมง
ในปี พ.ศ.๒๕๒๖ สมเด็จพระพุฒาจารย์ท่านได้มีพระเมตตาเสด็จมาวัดเขาดินเป็นครั้งที ๒ เพื่อเป็นองค์ประธานเปิดงาน โครงการ “หน่วยอบรมประชาชนประจำตำบลหนองมะโมง” หลังจากนั้นพระเดชพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ได้มีพระเมตตาเสด็จเยือนวัดเขาดินอีกถึง ๒ ครั้ง ในปี พ.ศ.๒๕๒๙ และ พ.ศ.๒๕๓๑ เพื่อเป็นองค์ประธานเปิดงานหอสมุดประจำตำบลและโครงการสมุนไพรไทย ณ วัดเขาดิน ด้วยเหตุนี้หลวงพ่อบุญเกิดจึงได้รับการยกย่องจากทางคณะสงฆ์ทุกระดับชั้น และเป็นมิ่งขวัญของชาวบ้านทั้งใกล้-ไกล
ในปี พ.ศ.๒๕๓๖ วัดเขาดินจึงได้รับแต่งตั้งจากมหาเถระสมาคมให้เป็นวัดพัฒนาดีเด่นประจำปี และในปี พ.ศ.๒๕๓๗ คณะสงฆ์จังหวัดชัยนาทได้มีมติเห็นสมควรเสนอชื่อหลวงพ่อบุญเกิด แก่มหาเถรสมาคมในการขอพระราชทานเลื่อนสมณะศักดิ์ ทางหาเถระสมาคมได้พิจารณาเห็นสมควรแต่งตั้งให้ท่านเป็นพระครูสัญญาบัติชั้นโท ในพระราชติณนามว่า “พระครูอุดมชัยกิจ” จากสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก องค์ปัจจุบัน เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๓๗


* wkd.07.jpg (54.91 KB, 500x667 - ดู 28627 ครั้ง.)

* wkd.08.jpg (58.92 KB, 500x667 - ดู 28595 ครั้ง.)

* wkd.11.jpg (57.95 KB, 500x653 - ดู 28439 ครั้ง.)

* wkd.12.jpg (57.81 KB, 500x663 - ดู 29301 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
ฝุ่นดิน
สืบสานประวัติศาสตร์และส่งเสริมความภาคภูมิใจในระดับท้องถิ่น
Register Member
Full Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 130


084-7208460


« ตอบ #11 เมื่อ: 29 พฤษภาคม 2010, 01:38:26 PM »

มีข่าวประชาสัมพันธ์นิดนึงครับ กล่าวคือคุณอัครพล หริ่งรอด และคุณวรพจน์  ซื่อมาก ผู้ศรัทธาขออนุญาตจัดสร้างเหรียญรุ่น 4 ถวายหลวงพ่อเมื่อปี 2541 โดยมีเจตนารมณ์เพื่อเทิดทูนบูชาคุณผู้เป็นองค์อุปัชฌาย์อาจารย์ ส่วนหนึ่งคุณอัครพลได้นำไปแจกจ่ายในวาระสำคัญๆในหมู่คณะและผู้มีศรัทธาต่อองค์หลวงพ่อโดยมิได้กำหนดราคาแต่อย่างไร เป็นเจตนารมย์ที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง จนกระทั่งไม่กี่เดือนมานี้คุณอัครพลได้มาพบบทความประวัติหลวงพ่อเกิด วัดเขาดิน ณ เวปแห่งนี้ คุณอัครพลจึงได้ติดต่อมายังข้าพเจ้าสนทนากันอยู่ระยะหนึ่ง และที่ถือว่าเป็นโอกาสที่สำคัญก็คือ คุณอัครพลยินดีมอบเหรียญรุ่น 4 ปี 2541 เนื้อเงินทั้งหมดที่เหลืออยู่กับคุณอัครพลเองจำนวน 9 เหรียญให้กับทางวัดเพื่อสมทบทุนสร้างเจดีย์ และพิเศษที่สุดตรงที่เหรียญเงินทั้ง 9 เหรียญนี้จะมีโค๊ดและหมายเลข 1-9 ตอกกำกับไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้หลวงพ่อท่านยังได้ทำการจารอักขระด้วยตัวท่านเองอีกด้วย โค๊ดและหมายเลขนี้จะมีเฉพาะเหรียญเนื้อเงิน 9 เหรียญนี้เท่านั้น โดยจะมอบเหรียญเงิน 1 เหรียญให้กับผู้ที่ร่วมบริจาคสมทบทุนสร้างเจดีย์กับหลวงพ่อ  ซึ่งสามารถทำการถวายเงินและรับเหรียญโดยตรงจากองค์หลวงพ่อได้เลย แต่ถ้าหากท่านใดไม่สะดวกก็สามารถโอนเงินผ่านบัญชีแล้วส่งหลักฐานการโอนเพื่อยืนยันการโอนผ่านทางเวปไซด์นี้ได้ หรือจะด้วยวิธีการใดใดที่นอกเหนือจากนี้จะนำรายละเอียดมาประชาสัมพันธ์อีกครั้งครับ (ตอนนี้ยังไม่ได้ข้อกำหนดอัตราค่าบริจาคว่าควรจะบริจาคเท่าไรจึงจะเกิดความเหมาะสม จึงมีนโยบายให้ทุกท่านเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดอัตราค่าบริจาคด้วยครับ) ในที่สุดนี้ขออนุโมทนาบุญแก่คุณอัครพล-คุณวรพจน์ และคณะไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
    รายละเอียดของเหรียญรุ่น 4 มีดังนี้ครับ เป็นเหรียญรูปเหมือนหลวงพ่อนั่งเต็มองค์ด้านหลังเป็นรูปหลวงปู่ศุข วัดปากคลองฯ(เดี๋ยวจะโพสต์รูปตัวอย่างเหรียญให้ดูครับ) เหรียญนี้จัดสร้างขึ้นในปี 2541 จำนวนการจัดสร้างทั้งสิ้น 3059 เหรียญ แบ่งออกเป็น 2 เนื้อคือ เนื้อเงินและเนื้อทองแดง เนื้อเงินจัดสร้าง 59 เหรียญ เนื้อทองแดงจัดสร้าง 3000 เหรียญ โดยคุณอัครพล หริ่งรอด ผู้ช่วยหัวหน้าส่วนบังคับคดี ร่วมกันกับคุณวรพจน์ ซื่อมาก หัวหน้าส่วนข้อมูล ฝ่ายบังคับคดี ธนาคารอาคารสงเคราะห์สำนักงานใหญ่ พระราม 9 ขออนุญาตหลวงพ่อจัดสร้างเหรียญรูปเหมือนเป็นรูปองค์ท่าน หลวงพ่ออนุญาตพร้อมทั้งมอบรูปถ่ายในคราวฉลองพัดยศพระครูชั้นโท เมื่อปี พ.ศ.2537 ซึ่งหลวงพ่อได้ทำการลงอักขระยันต์ที่ท่านใช้เป็นประจำทั้ง 4 พระยันต์ ให้เป็นต้นแบบในการแกะอักขระลงในเหรียญขนาบทั้งซ้าย-ขวาขององค์หลวงพ่อ ( ซึ่งรูปนี้ทางวัดได้จัดทำเป็นบล็อกสกรีนประทับปฏิทินแจกในโอกาสขึ้นปีใหม่ในปี พ.ศ.2537 รูปปฏิทินนี้มีมือดีทดลองยิงด้วย จะด้วยพอดีดินปืนชื้นหรืออย่างไรไม่ทราบปรากฏว่ายิงไม่ออกมาแล้ว)  ในการนี้หลวงพ่อท่านยังกำชับขอให้มีรูป หลวงปู่ศุข วัดปากคลองฯอยู่ด้วย เพราะท่านบอกว่าจะอาศัยบารมีหลวงปู่ฯเสก เมื่อได้รับการอนุญาตและรูปต้นแบบจากหลวงพ่อแล้ว ทั้ง 2 ท่านก็ดำเนินการสร้างถวาย โดยจ้างช่างตลาดพยุหะ จังหวัดนครสวรรค์ให้เป็นผู้จัดทำ 
    คุณอัครพลเองมีโอกาสรู้จักหลวงพ่อได้ก็ด้วยการแนะนำของ คุณหมอภาณุพันธ์ เพิ่มศิริวานิช สาธารณสุขอำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท ผู้มีศักดิ์เป็นน้าเขย ซึ่งคุณหมอภาณุพันธ์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง หัวหน้าอนามัย ตำบลหนองมะโมง อำเภอวัดสิงห์นั้นได้มีโอกาสเข้าไปควบคุมดูแลเกี่ยวกับประปาหมู่บ้าน ซึ่งถังน้ำประปาจะต้องจัดตั้งบนเขา จึงได้มีโอกาสสัมผัสและหบปะกับหลวงพ่ออยู่บ่อยครั้ง ด้วยระยะเวลาและปฏิปทาของหลวงพ่อก่อให้เกิดศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาจึงได้แนะนำให้คุณอัครพลรู้จัก จนกระทั่งคุณอัครพลได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อเมื่อได้พบปะสนทนาด้วยแล้วก็ก่อให้เกิดศรัทธาอย่างสูง จึงได้นิมนต์ให้หลวงพ่อเป็นพระอุปัชฌาย์จัดการบรรพชาอุปสมบทให้ที่วัดโคกจันทร์ อำเภอสรรพยา จังหวัดชัยนาท อันเป็นภูมิลำเนาของคุณอัครพลหลังจากทำการอุปสมบทแล้วพระอัครพลก็ได้ติดตามหลวงพ่อมายังวัดเขาดิน หลวงพ่อให้พระอัครพลจำวัดที่กุฏิบนยอดเขาติดกันกับกุฏิของหลวงพ่อ พระอัครพลตื่นขึ้นมาคราวใดก็พบเห็นหลวงพ่อนั่งขีดเขียนอยู่บนโต๊ะทำงานอยู่เสมอ จึงเข้าใจได้ว่าหลวงพ่อท่านนอนน้อยมากหรือไม่ก็อาจไม่ได้นอนเลย  มีอยู่คราวหนึ่งในขณะที่เดินติดตามหลวงพ่อขึ้นเขาไปตามทางเดินเท้า โดยหลวงพ่อท่านเดินนำหน้าพร้อมกับหิ้วกระแป๋งข้าวหมาบ้างบรรดาสัมภาระอื่นบ้างดูพะรุงพะรังตามแบบฉบับของหลวงพ่อท่าน พระอัครพลเดินตามไปในระยะไม่เกิน 1 เมตร ในขณะนั้นในใจก็ครุ่นคิดอยู่ว่า”ที่เขาว่าหลวงพ่อย่นระยะทางได้นั้น เป็นไปได้จริงหรือ”ทันทีที่สิ้นความคิดดังกล่าวปรากฏว่า หลวงพ่อท่านทิ้งระยะห่างไปประมาณ 4-5 เมตร สร้างความประหลาดใจให้แก่พระอัครพลเป็นอย่างมาก ซึ่งต่อให้ท่านเดินไวอย่างไรในระยะเวลาชั่วความคิดแล่นแวบเดียว ก็ไม่มีทางที่จะทิ้งระยะทางไปได้ไกลขนาดนั้น และนั่นไม่ใช่แค่ท่านแสดงการล่นระยะทางให้ดูแต่ยังหมายถึงท่านรู้ความคิดของพระอัครพลได้อย่างไรอีกด้วย
  ส่วนคุณวรพจน์ ซื่อมาก ผู้สมทบทุนสร้างเหรียญ มากราบหลวงพ่อแล้วหลวงพ่อได้มอบพระบูชาเชียงแสนขนาด 5 นิ้วให้ ก่อนจะลากลับท่านได้พูดเกริ่นๆว่า เรื่องโชคลาภเนี่ยใครจะได้ยังไงมันก็ต้องได้ แต่ถ้าไม่มีต่อให้เห็นทั้ง 2 ตาได้ยินทั้ง 2 หูยังไงมันก็ไม่ถูก แล้วท่านก็พูดอะไรไปในทำนองปริศนาเล็กน้อย จำได้คร่าวว่าท่านกล่าวถึงรัชกาลที่8 กับรัชกาลที่ 9 ซึ่งใครฟังก็รู้ว่าหมายถึงเลขอะไร ด้วยความโลภนิดๆเมื่อออกจากวัดแล้ว คุณวรพจน์โทรสั่งซื้อกับพรรคพวกที่ กทม.ทันที แต่ซื้อเป็นเลขสามตัวบนโดยตีความหมายกันเองเพิ่มอีก 1 ตัวเลข เมื่อหวยออกแล้วต่างก็ตบเข่าด้วยความเสียดายเพราะเลขที่ออก ตรงกับเลขสองตัวล่างตรงๆ จึงกระจ่างแก่ใจว่าคนไม่มีโชค นี่มันเป็นยังไง อีกเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นกับคุณวรพจน์ก็คือหลังจากที่ลงรถของคุณอัครพลไปแล้วในขณะที่ยืนรอรถประจำทางอยู่นั้น มีรถวิ่งมาด้วยความเร็วสูงมุ่งมาทางคุณวรพจน์ และในขณะนั้นเองคุณวรพจน์รู้สึกเหมือนมีใครมาผลักอย่างแรง จนทำให้ร่างของคุณวรพจน์กระเด็นห่างออกไปจากตำแหน่งที่ยืนอยู่ประมาณ 1 เมตร ซึ่งเป็นที่ประหลาดอยู่พอสมควรตรงที่อิริยาบถตอนที่คุณวรพจน์อุ้มพระรอรถอยู่อย่างไร เมื่อกระเด็นออกไปแล้วก็ยังคงอุ้มพระอยู่ในลักษณะอย่างนั้น เหตุการณ์และบารมีของหลวงพ่อในครั้งนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำของคุณวรพจน์ตราบจนถึงทุกวันนี้มิลืมเลือน


* wkd.05.jpg (55.13 KB, 500x755 - ดู 28216 ครั้ง.)

* wkd.06.jpg (56.94 KB, 500x758 - ดู 28023 ครั้ง.)

* Dd188.jpg (57.93 KB, 350x485 - ดู 27835 ครั้ง.)

* Dd192.jpg (50.5 KB, 350x503 - ดู 27745 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
nop1962
Register Member
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 956



« ตอบ #12 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2010, 06:42:58 PM »

ร่วมด้วยครับ


* WKD.jpg (77.53 KB, 650x463 - ดู 27924 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
nop1962
Register Member
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 956



« ตอบ #13 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2010, 06:44:31 PM »

2


* LPK001.jpg (75.63 KB, 650x595 - ดู 30836 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
nop1962
Register Member
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 956



« ตอบ #14 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2010, 06:45:18 PM »

3


* LPK002.jpg (75.13 KB, 650x636 - ดู 27467 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
nop1962
Register Member
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 956



« ตอบ #15 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2010, 06:46:09 PM »

4


* LPK007.jpg (63.29 KB, 650x475 - ดู 27456 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
nop1962
Register Member
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 956



« ตอบ #16 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2010, 06:46:51 PM »

5


* LPK008.jpg (62.05 KB, 650x468 - ดู 28663 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
nop1962
Register Member
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 956



« ตอบ #17 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2010, 06:47:47 PM »

6


* LPK009.jpg (61.19 KB, 650x483 - ดู 27121 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
nop1962
Register Member
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 956



« ตอบ #18 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2010, 06:48:33 PM »

7


* LPK010.jpg (54.53 KB, 650x454 - ดู 28523 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
nop1962
Register Member
Hero Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 956



« ตอบ #19 เมื่อ: 11 มิถุนายน 2010, 06:49:48 PM »

8


* LPK005.jpg (90.19 KB, 650x784 - ดู 33044 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.10 | SMF © 2006-2008, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!