ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน 28 มีนาคม 2024, 08:03:06 PM
หน้าแรก ช่วยเหลือ ค้นหา เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
ข่าว: เชิญบูชาล็อกเก็ตหลวงพ่อกวย บรรจุมวลสารพิเศษ http://www.watkositaram.com/forum/index.php?topic=8540.0

+  กระดานสนทนา วัดโฆสิตาราม (บ้านแค) จ.ชัยนาท
|-+  ทั่วไทย
| |-+  พระเกจิอาจารย์จังหวัดชัยนาท อ่างทอง สิงห์บุรี สุพรรณบุรี
| | |-+  เกียรติคุณของพ่อขุนสรรค์
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้ « หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เกียรติคุณของพ่อขุนสรรค์  (อ่าน 10418 ครั้ง)
tongn005
Administrator
Hero Member
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,222


singhakhakha@hotmail.com


« เมื่อ: 23 มกราคม 2010, 05:47:16 PM »

ขุนสรรค์  วีรบุรุษแห่งลุ่มแม่น้ำน้อย


ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะเสียให้แก่พม่าในครั้งที่  2  พ.ศ.2308  พม่าได้ส่งกองทัพมา  2  กอง  มีมังมหานรธา  และเนเมียวสีหบดี  เป็นแม่ทัพ  พอมาถึงเมืองวิเศษชัยนาญ  สิงห์บุรี,  สรรคบุรี  ทหารพม่าก็ปล้นสะดอเอาทรัพย์สินของชาวบ้าน  ถ้าเจอลูกสาวไหนสวยก็ฉุดคร่าเอาไปเป็นเมีย  เลือดของคนไทยผู้รักชาติแม่จะไม่ได้เป็นทหารก็สุดจะทนทานลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้  (ลูกผู้หญิงกินได้จ่ายไม่ได้)  นายดอก  คนบ้านกลับ,  นายทองแก้ว  คนบ้านโพธิ์ทะเล  จึงได้ร่วมมือกับมักสู้จากบ้านศรีบัวทอง  แขวงเมืองสิงห์บุรี  คอืนายแท่น,  นายโชติ,  นายอิน,  นายเมือง  ซึ่งได้สาบานกันว่าจะร่วมเป็นร่วมตายสู้กับพม่า  ทั้ง  6  คน  ได้ลวงพม่าไปฆ่าตายซะ  20  คน  จากนั้นทั้ง  6  คน  ได้ทราบข่าวว่าคนไทยได้ร่วมตัวกันอยู่ที่ค่าบางระจัน  โดยได้นิมนต์ท่านพระอาจารย์ธรรมโชติ  จากวัดเขานางบวช  หรือวัดเขาขึ้น  อ.เดิมบางนางบวช  จ.สุพรรณบุรี  มาเป็นขวัญกำลังใจ
  ณ  ที่นี่เองได้มีคนไทยที่มีฝีมือพาสมัครพรรคพวกมาอยู่ก่อนแล้ว  5  คน  คือ  ขุนสรรค์,  พันเรือง,  นายทองเหม็นนายจันทร์หนวดเขี้ยว,  นายทองแสงใหญ่  เมื่อทั้งหมดได้พูดคุยกันแล้วก็จับมือรวมตัวกันได้  11  คน  ล้วนแล้วแต่ระดับครูดาบ  ครูปืนทั้งสิ้น  ทั้งผู้นำและชาวบ้านได้ก่อสร้างค่ายขึ้นด้วยไม้ระเนียด  ความแค้นที่ทหารพม่าถูกฆ่าตายถึง  20  คนนี้เอง  เนเนียวสีหบดี  จึงได้ส่งกองทัพมาตีค่ายบางระจัน  ทุกทั้งจะส่งทหารพม่ามามากกว่าเป็นห้าเท่า  แต่ชาวบ้านบางระจันผู้ไม่รักตัวกลัวตาย  ได้ต่อสู้กลับทหารพม่าที่ส่งมาถึง  4  ครั้ง  แตกกระจาย  แม่ทัพนายกองตายแทบทุกคน  ในครั้งที่  4  นี้เอง  ตัวนายแท่นได้ถูกปืนของพม่าตรงหัวเข่า  นายแท่นจึงมอบหมายให้นายจันทร์หนวดเขี้ยว,  ขุนสรรค์  และนายทองเหม็น  เป็นผู้นำทัพ  การสู้รบครั้งที่  5  เริ่มรุนแรงมากขึ้น  แต่พม่ากลับพ่ายแพ้ไป  ครั้งที่  6  และครั้งที่  7  เป็นการสู้รบที่ดุเดือดและรุนแรงมาก  เขาว่านายทองเหม็นบ่าบิ่นที่สุด  ขี่ควายสู้กับพม่า  หนังเหนียวขนาดโดนยิงร่วงจากหลังควาย  ยังใช้ขวานอันโต  2  เล่ม  สู้กับพม่าต่อ  แถมโดดขึ้นหลังควายสู้ต่อ  ส่วนขุนพรรค์นั้นเป็นกองหน้า  ใช้ปืนยิงทหารพม่า  ส่วนนายจันทร์หนวดเขี้ยวเป็นทัพหลัง  การสู้รบในครั้งที่  7  เป็นการสู้รบที่รุนแรงที่สุดและได้ชัยชนะงดงาม  จนกระทั่งปี  2309  เนเมียวสีหบดี  ก็ยังปราบชาวบ้านบางระจันไม่ได้  จนกระทั่งมีชาวมอญคนหนึ่ง  มาอาสานำทัพสู้กับชาวบ้านบางระจัน  ชาวมอญคนนี้เดิมอยู่ในประเทศไทย  มีสมัครพรรคพวกพอสมควร  ได้ไปอาสารบกับเนเมียวสีหบดี  โดยคัดเลือกทหารเอง  ถึง  2,000  คน  ชาวมอญผู้นี้ไม่ได้ปรากฏชื่อ  รู้แต่ตำแหน่งชื่อ  สุกี้  (ตำแหน่งนายกองใหญ่)  สุกี้เป็นแม่ทัพที่ฉลาดได้นำปืนใหญ่มาด้วย  และรู้ว่าคนไทยชอบรบในที่แจ้ง  เขาจึงเดินทัพพม่าช้าๆเพื่อป้องกันการแย่งชิงปืนใหญ่  เมื่อมาได้ระยะปืนใหญ่  เขาได้ตั้งค่ายปืนใหญ่อย่างแน่นหนา  และระดมยิงปืนใหญ่มาที่ค่ายบางระจันผู้คนล้มตาย  บ้างก็หนีไป  ค่ายก็แตกต้องช่วยซ่อมอยู่เรื่อย  วันหนึ่งนายทองเหม็นทนไม่ไหว  กินเหล้าเข้าไป  ได้เอาเหล้าให้ความกินด้วย  ไดสั่งกำลังในส่วยตัวของตนบุกตะลุยตีค่ายของสุกี้  ผลคือ  น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ  ตัวนายทองเหม็นนี้หนังเหนียวยิ่งนัก  ประกอบกับสุกี่เห็นทหารมีน้อย  จึงปิดประตูตีแมว  (เปิดแล้วปิด)  ได้รุมทุบนายทองเหม็นจนถึงแก่ความตาย  วันต่อมา  ขุนพรรค์กับนายจันทร์หนวดเขี้ยว  สุดจะทนต่อการยิงปืนของพม่าได้  จึงได้ยกกำลังออกไปต่อสู้  โดยมีขุนพรรค์กับพลปืนเป็นแนวหน้า  นายจันทร์หนวดเขี้ยวเป็นแนวหลัง  การสู้รบแบบประจัญบานได้เกิดขึ้น  แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ  เล่ากันว่า  ขุนพรรค์ยืนคอตาย  คือหัวใจวายตาย  หมดแรงโดนทุบตาย  ส่วนนายจันทร์หนวดเขี้ยวได้พยายามสุดๆ  ที่จะฆ่าสุกี้นายกองให้ได้  แต่ก็ถูกรุมแทงตาย  3  ผู้นำ  3  คนหลังนี้ตายตาไม่กะพริบ  ไม่เกรงพม่าแม้แต่น้อยเดียว  หลังจากนั้นพม่าก็ระดมยิงปืนใหญ่เข้าไปในค่าย  ผู้นำคนที่เหลือก็ได้ต่อสู้จนตัวตายชาวบ้านบางคนก็หนีไป  ส่วนท่านอาจารย์ธรรมโชติ  ได้กลัววัดนางบวชหรือวัดเขาขึ้น  เล่ากันว่า  ทหารพม่าก็ตามมาแต่ไม่พบ  เพราะอุโบสถบนยอดเขาขึ้นนั้น  ด้านหลังเป็นถ้ำ  (หลังพระพุทธรูป)  และมีทางลงไปเชิงเขา  ปัจจุบันที่เชิงได้ถูกคนลับแลปิดปากถ้ำแล้ว  เล่ากันว่า  สมัยก่อนเวลามีงานชาวบ้านจะมาขอยืม  ถ้วย, โถ,  ชาม  จากในถ้ำนี้แม้แต่กำไลแขน  กำไลข้อมือ  สร้อยสวมคอก็มี  ภายหลังคนเกิดความโลภไม่นำมาคืน  คนลับแลเลยปิดปากถ้ำ  (ทางเข้าถ้ำต้านตีนเขา)  กาลเวลาผ่านไป  200  ปีเศษ  แต่คนเมืองสรรค์ก็ไม่เคยลืมขุนพรรค์  วีรบุรุษของพวกเขา  ต่างจดจำและเล่าขานรวมทั้งมีการจดบันทึกเอาไว้  อยู่ต่อมาทางค่ายบางระจันได้สร้างอนุสาวรีย์ผู้นำชาวบ้านบางระจันที่ค่ายบางระจัน  ต่อมาท่านนายอำเภออุทัย  อนันตสมบูรณ์  (อดีตนายอำเภอสรรบุรี)  ได้เป็นผู้นำในการก่อสร้างอนุสาวรีย์ขุนพรรค์โดยสร้างเหรียญพระครูพิมพ์หันหลังชนกันกับขุนพรรค์  เพื่อนำมาจำหน่ายและจะได้เป็นทุนในการสร้างรูปหล่อใหญ่ส่วนรูปหล่อขนากบูชา  คงสูงประมาณ  5  นิ้ว  สร้างเฉพาะผู้สั่งจอง  ปัจจุบันมีราคาแพงมาก  หาคนปล่อยออกได้ยากเรื่องการสร้างอนุสาวรีย์ขุนพรรค์นั้น  ก็ต้องยกความดีให้ท่านนายอำเภออุทัย  อนันตสมบูรณ์  ในวันเบิกพระเนตรหรือเชิญดวงวิญญาณขุนพรรค์นั้น  ได้ทำพิธีบวงสรวงอย่างดีได้ทำนั่งร้านขึ้นไป  พระครูพิมพ์เป็นผู้เชิญดวงวิญญาณในวันนั้นมีเกจิอาจารย์ในสรรคบุรีเกือบ  10  องค์  ได้จับชายผ้าจีวร,  จับขา  ส่งจิตไปช่วย  รูปนี้ได้ถ่านไว้เป็นรูปที่สวยงามมาก  (ที่กองดับเพลิงเทศบาลมี  1  รูป

สุกี่นายกองที่สามารถตีค่าบางระจันแตกนั้น ตัวสุกี้ไม่ได้เก่งกาจอะไรสักเท่าไรเลย  เพียงแต่มีสมอง  (ใช้สมองกับปืนใหญ่)  หลังจากค่ายบางระจันแตก  กรุงศรีอยุธยาก็เสียให้แก่พม่าในเวลาต่อมา  สุกี้ได้รับแต่งตั้งให้อยู่ดูแลกรุงศรีอยุธยา  ที่ค่ายโพธิ์  3  ต้น  (อยู่  อ.บางปะหัน  จ.พระนครศรีอยุธยา)  เพื่อเก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติที่เหลือ  ส่งไปพม่า  ต่อมาไม่นาน  พระยาตาก  (พระเจ้าตากสิน)  พร้อมทหารคู่ใจคือหลวงพิชัยอาสา  ได้กอบกู้บ้านเมืองหลวงพิชัยอาสา  (พระยาพิชัยดาบหัก)  ได้ตีค่ายโพธิ์  3  ต้น  แตกอย่างง่ายดาย  สุกี้ได้ยอมแพ้  แต่ความผิดของสุกี้ใหญ่หลวงนัก  หลวงพิชัยอาสาจึงสั่งตัดคอทิ้ง


* khun sun1.jpg (90.42 KB, 468x310 - ดู 8177 ครั้ง.)

* 1188457827.jpg (29.91 KB, 480x360 - ดู 5924 ครั้ง.)

* bangrajan.jpg (61.55 KB, 650x485 - ดู 5248 ครั้ง.)
บันทึกการเข้า

อะปะจะคะ ปะจะคะอะ จะคะอะปะ คะอะปะจะ
tongn005
Administrator
Hero Member
*******
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,222


singhakhakha@hotmail.com


« ตอบ #1 เมื่อ: 24 มกราคม 2010, 02:39:25 PM »

อีกบทความนึงครับ

ย้อนอดีตไป ตั้งแต่เดือนสี่  ปีระกา  พุทธศักราช  2308  จนถึงเดือน  7  ปีจอปีต่อมาฝ่ายกองทัพพม่าได้รบพุ่งกับชาวบ้านบางระจัน  จนได้พ่ายแพ้ไปถึง  7  ครั้งฝ่ายพม่ามีความหนักใจและจำต้องทุ่มเทกำลังเพื่อเผด็จศึกให้จงได้  เพราะถ้าขืนปล่อยไว้ให้เนิ่นเวลาฝ่ายพม่าก็จะปราบไทยยากดังนั้นฝ่ายพม่าจึงคิดว่าในสึกครั้งต่อไป  แม้ฝ่ายพม่าจะต้องยอมเมื่อเป็นดังนั้น  เนเมียวสีหบดีจึงมีบัญชาให้สุกี้คุมไพร่พลถึงพันคนมีอาวุธที่ทันสมัยกว่าชาวบ้านบางระจันเตรียมไว้มากมายเช่นอาวุธปืนใหญ่ให้เป็นต้น  ต่างได้เข้ารายล้อมค่ายบางระจันเพื่อต้องการยุติศึกให้เด็ดขาดเหตุการณ์ในตอนนั้น  ขุนพรรค์  ท่านได้นำชาวบ้านจำนวนหนึ่งออกเป็นหน่วยกล้าตาย  เพื่อเข้าบุกพังค่ายพม่า
ด้วยหวังว่าจะสามารถแก้กลศึกไม่ให้พม่าตีโต้ด้วยปืนใหญ่ได้  และด้วย  ขุนสรรค์  ในครั้งนั้นท่านเป็นผู้มีฝีมือในการใช้อาวุธดาบ  มีฝีมือในการใช้อาวุธปืน  เมื่อได้ไปเป็นหัวหน้า  โดยนำชาวบ้านออกประจัญบานเป็นหน่วยกล้าตาย  ด้วยเกียรติคุณ  ที่ท่านมีความสามารถอย่างนั้น  ขุนสรรค์  ก็เป็นหัวหน้าที่สร้างความอบอุ่นใจให้กับพี่น้อง ชาวไทยบ้านค่ายบางระจัน  ที่เป็นทหารอาสาในครั้งนั้นไม่น้อย  แล้วด้วยทุกคนมีกำลังใจอย่างนั้น  หน่วยกล้าตายทุกคนต่างก็บุกเข้าตีค่ายพม่าทันที  แต่เหตุการณ์ในขณะนั้น  ฝ่ายทัพพม่าซึ่งมีสุกี้  เป็นหัวหน้าฝ่ายรับรู้ตัวดีว่า  ลำพังจะออกสู้รบกับคนไทยโดยออกสู้รบกันที่กลางแปลง  ทหารพม่าทุกคน  ก็คงไม่มีทหารคนใดที่จะออกไปต่อกรกับคนไทยได้  สุกี้นายทหารฝ่ายบัญชา  จึงไม่ยอมสั่งทหารทุกคนออกไปรบกับคนไทยที่นอกค่าย  แต่ตั้งค่ายรายล้อมอยู่อย่างนั้นแม้จะถูกคนไทยอาสาต่างร้องตะโกนก่นด่าท้าทายให้ออกไปสู้กันอย่างไรฝ่ายพม่าก็ไม่ยอมออกไป  ด้วยเลือดไทยที่รักชาติ  ขุนสรรค์  จึงได้นำพลที่มีไม่มากนักเข้าฝ่ากระสุนปืนเพื่อเข้าตีค่าพม่าทันที  แต่ด้วยกระสุนจากปืนใหญ่และปืนเล็ก  ซึ่งพม่าได้ยิงมาจากข้างบน  ค่ายก็ทำให้ฝ่ายไทยไม่สามารถจะคืบคลานเข้าไปถึงที่ค่ายพม่าได้  แม้ทหารพม่าฝ่ายนายสุกี้  ก็สั่งเด็ดขาดไม่ให้ทหารทุกคนออกมาสู้รบกลางแปลงกับคนไทย  การรบที่อีกฝ่ายหนึ่งใช้อาวุธปืนซึ่งเป็นอาวุธที่ทันสมัยกว่าในขณะนั้น  ก็ไดทำให้คนไทย  ซึ่งอาสาเป็นทหารถึง  400  คน  กว่าคนต่างค่อยๆล้มตายเหลือน้อยลงไปทุกที  เมื่ออาวุธมีแต่ไม่ทันสมัย  ทุกคนก็คงมีแต่กำลังใจเท่านั้น  ที่ต่างยังมีความกล้าอยู่  จึงต่างได้หาทางแก้กลศึกขึ้น  โดยต่างได้พยายามหล่อปืนใหญ่  หล่อขึ้นถึงหลายครั้ง  แต่ต้องล้มเหลว  ซึ่งอาจจะขาดความชำนาญในการหล่ออย่างหนึ่งและอีกอย่างหนึ่งเพราะการหล่อ  ทุกคนได้ทำกันในเวลาร้อนเกินไป  เมื่อไม่มีทางเป็นไปได้  คือจะได้ปืนใหญ่มาฝ่ายผู้นำคนไทยทุกคนในครั้งนั้น  ตามนามที่ผมกล่าวมาแล้ว  ประวัติศาสตร์ก็ได้จารึกไว้ว่าทุกท่านต่างก็ได้นำพี่น้องชาวบ้านอาสา  ออกรบสู้กับพม่าจนแม้ตัวท่านผู้นำเอง ต่างก็ล้มตายหายจากไปทีละคน ๆ  ก็คงจะเหลือแต่  ขุนพรรค์  ซึ่งท่านก็ไม่ค่อยหวั่นไหว  แม้ในขณะนั้นท่านเองก็จะทราบชะตากรรมว่า  คงไม่มีทางเอาชนะพม่าได้  แต่ด้วยเลือดรักความเป็นไทย  อยากให้พวกเราลูกหลานไทย  ต่างได้มีผืนแผ่นดินอยู่มาตราบทุกวัน  ท่านพ่อขุนพรรค์ ก็ได้ตัดสินใจแล้วว่า  จะไม่หนี  ฝ่ายข้าศึกพม่าในครั้งนั้น  จะอยู่-อยู่เพื่อสู้กับฝ่ายพม่า  แม้แต่ท่านจะต้องตายเหตุการณ์ในขณะนั้น

จากหนังสือ “สมเด็จพระเจ้าเอกทัศ”  ซึ่ง  “ประยูรพิศนาคะ”  ท่านเป็นผู้ค้นคว้าประวัติศาสตร์และพงศาวดาร  โดยเขียนขึ้นไว้ดังข้อความที่ควรนำมากล่าวว่า   .....ในหนึ่งวัน  เมื่อสร่างโศกในการจากไปของ  นายแท่นแล้ว  ขุนพรรค์ก็ได้ยกกำลังพี่น้องชาวบ้านบางระจันไปยังที่ค่ายพม่า  แต่พม่ามอญก็ยังคุมเชิงเพื่อล่อให้คนไทยไปต่อสู้ในค่ายอย่างเดิม  ซึ่งคนไทยผู้ไดกล้าก็บุกเข้าไปและถ้าคนไหนบุกเข้าไปในทางด้านที่มีปืนใหญ่ทุกครั้งก็จะถูกปืนใหญ่ยิงตาย  ซึ่งตายเพราะมิใช่ว่าคนไทยไร้ฝีมือเลย  เหตุการณ์ในครั้งนั้น  ขุนพรรค์ท่านได้นำพี่น้องชาวบ้านบางระจันบุกเพื่อตีค่ายพม่า  โดยกระทำถึงสามครั้งแต่ด้วยกำลังที่มีน้อย  จึงไม่สามารถที่จะโอบล้อมโจมตีค่ายอันแน่นหนาและมั่นคงของฝ่ายพม่าได้  ซึ่งในการรบครั้งหนึ่ง  ขุนสรรค์  ท่านได้ทำการรบไว้อย่างยอดเยี่ยม!  กล่าวคือ  ได้นำพี่น้องร่วมตายหมู่หนึ่งโดยร่วมกันปีนค่ายพม่าเพื่อบุกเข้าไปให้ถึงภายในค่ายให้ได้  และขุนสรรค์พร้อมพี่น้องร่วมตายเพียงไม่กี่คนต่างก็บุกเข้าไปในค่ายพม่าจนได้ต่างได้ต่อสู่ฟาดฟันกับฝ่ายพม่า  มอญ  ภายในค่ายพม่านั้น  ซึ่งในขณะนั้นฝ่ายทหารพม่าต่างก็กำลังรวมกลุ่มเพื่อต่อสู้อยู่และอยู่กันด้วยพละกำลังที่มากมาย  ฝ่ายขุนสรรค์  ซึ่งมีกำลังบุกเข้าไปไม่กี่คน  ทุกคนจึงเปรียบเสมือนสิงห์ร้ายที่อยู่ในหมู่เสือร้าย  เสือร้ายที่หมายถึงกำลังของพระพม่ามอญที่มีมากมายเหลือเกินในค่ายนั้น  ทุกคนต่างกรูกันเพื่อเอาชีวิตของขุนพรรค์และพี่น้องที่ปีนค่ายเข้าไปได้ไม่กี่คนแต่เหตุการณ์ที่น่าหวาดเสียวในขณะนั้น  ทุกคนต่างก็ไม่เคยตกใจกลัวภัยจากทหารพม่าทั้งหลายเลย  ทุกคนต่างคิดอยู่เสมอว่า  จะหักให้เข้าถึงตัวฝ่ายพม่า  เพื่อเข้าเข่นฆ่า!ฝ่ายศัตรูให้หมดสิ้นให้ได้  ลืมคิดไปว่าฝ่ายกำลังของพวกเรา  มีน้อยกว่าฝ่ายศัตรูมาก  ด้านฝ่ายขุนพรรค์  ในเหตุการณ์ขณะนั้นประวัติได้บันทึกไว้ว่า  ตัวท่านเอง  ต้องถูกรุมล้อม  จากฝ่ายทหารพม่ามากมายท่านสู้และสู้อย่างเหน็ดเหนื่อย-เหนื่อยเปี่ยมว่าจะขาดใจ  พยายามจะสู้อย่างไรในขณะนั้น  ท่านก็ไม่สามารถตีฝ่าวงล้อมออกมาได้  เมื่อเหลียวซ้ายแลขวาก็จะหาเพื่อนร่วมตายที่จะมาช่วยรบตีฝ่าวงล้อมสักคนก็หาไม่ก็คงมีภาพที่พี่น้องทุกคนต่างเสียชีวิตไป  เป็นวิกฤติการณ์ที่ขณะนั้นก็คงจะมีเพียงท่านผู้เดียว  ที่ต้องตกอยู่ในวงล้อมอยู่  ซึ่งท่านก็เปรียบเหมือนสมิง  ที่ตกอยู่ในกลุ่มของเสือหิวหลายร้อยตัว  แต่ขุนสรรค์  ท่านก็มิได้คิดเสียดายชีวิตเพียงสลดใจมากก็ที่เห็นพี่น้องร่วมตายที่ได้บุกเข้าไป  มาบัดนั้นเขาต่างได้อยู่ในสภาพที่กำลังจะจาก  (ตาย)  ไปหมดแล้ว
   ขณะเมื่อความคิดเริ่มสับสนร่างรายเริ่มอ่อนเกือบจะขาดใจ  ทันใดท่านก็นึกถึงขวัญของนายแท่นดังก้องหูขึ้นมา
   จิตสำนึกก็เกิดกำลังใจขึ้น  ทำให้ท่านเริ่มมีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นมาอีก  การต่อสู้กับทหารพม่าที่มากหมู่ซึ่งท่านกำลังจะหมดแรงก็เกิดขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์มือกำดาบที่ทะมัดทะแมงก็มีอาการออกดาบเร็วเพิ่มขึ้นมาอีกเหล่าทหารพม่าก็เริ่มล้มตายคนแล้วคนเล่า  ขุนสรรค์แม่ว่าในขณะนั้นท่านจะสู้ศึกในท่ามกลางวงล้อม  แต่ก็ไม่มีฝ่ายพม่าหน้าไหนที่จะเข้าไปจับเป็นหรือจับตายท่านได้  ฝ่ายทหารพม่า
  หลายคนต่างต้องรีบถ่อยร่นออกมาเมื่อในเวลาขณะนั้น  สองดาบของขุนสรรค์กวัดแกว่งฟาดฟันออกไป  แม้นายสุกี้ผู้เป็นนาย  จะร้องเตือนเพื่อให้ทหารทุกคนเข้ารุมทำร้ายขุนสรรค์โดยไวอย่างไร
   แต่ขุนสรรค์  วีรบุรุษของพวกเราท่านก็ขับเคี่ยวกับพม่ามอญ  อยู่ได้ไม่นาน  ด้วยกำลังพละกำลังที่ต้องสู้คนเดียวและสู้อย่างไม่มีเวลาพัก  การสุดสิ้นกำลัง  ในครั้งนั้นเหตุการณ์ที่เกิดกับท่าน  ประวัติศาสตร์ได้กล่าวไว้ว่า  ขุนสรรค์วีรบุรุษของเราท่านถึงกับมีอาการเป็นลมล้มลงทั้งๆ  ที่อยู่ในท่ายืนเป็นโอกาสของฝ่ายพม่ามอญ  พวกมันต่างวิ่งกรูช่วยกันโดยรุมฟันรุมแทง  ขุนสรรค์  โดยฟันแทงไม่ยั้ง  ซึ้งพวกมันต่างดีอกดีใจที่สามารถฆ่าฟัน  ท่านขุนสรรค์ได้  แต่พวกมันก็หารู้ไม่ว่าเป็นการกระทำที่พวกมันรุมฆ่าคนที่สิ้นใจแล้ว  สิ้นใจในขณะที่ท่านล้มเป็นลมในขณะนั้นนั่นเอง  วิญญาณของท่านได้หนีออกจากร่างไปแล้ว  ก็คงทิ้งไว้แต่ร่างให้ฝ่ายศัตรูรุมทำร้าย-ทำร้ายคนตายที่ไม่มีความเจ็บปวดนั่นเองวิญญาณแห่งเกียรติศักดิ์ของผู้รักชาติรักแผ่นดินที่จากไปในระหว่างรบ  ที่สุดก็ได้เรียกน้ำตาจากพี่น้องชาวบ้านบางระจันเป็นอย่างมาก  เพราะได้เสียผู้นำไปอีกท่านหนึ่งซึ่งประวัติศาสตร์ก็ต้องยอมรับว่า  ท่านได้สร้างเกียรติความกล้าหาญไว้ให้คนรุ่นหลังยอมรับความเกล้าหาญของท่าน  ที่ท่านเป็นผู้หนึ่งที่บุกเข้าไปสู้กับพม่า  จนตัวท่านต้องตายเพราะได้เสียผู้นำไปอีกท่านหนึ่งซึ่งประวัติศาสตร์ก็ต้องยอมรับว่า  ท่านได้สร้างเกียรติความกล้าหาญไว้ให้คนรุ่นหลังยอมรับความกล้าหาญของท่าน  ที่ท่านเป็นผู้หนึ่งที่บุกเข้าไปสู้กับพม่าจนตัวตายเพราะต้องการรักษาชาติบ้านเมืองไว้ให้ลูกหลานคนไทย
บันทึกการเข้า

อะปะจะคะ ปะจะคะอะ จะคะอะปะ คะอะปะจะ
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.10 | SMF © 2006-2008, Simple Machines LLC | Thai language by ThaiSMF Valid XHTML 1.0! Valid CSS!