กระทู้นี้ ผมขอนำเสนอข้อมูลพระเครื่องหลวงพ่อที่ค้นพบในสระน้ำ เมื่อคราวที่ผมได้ไปที่วัดและได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นพอดี ถ้าจำไม่ผิดและอาศัยข้อมูลภาพ ระบุปี น่าจะปี2548-2549
แต่ก่อนจะพูดถึงเรื่องพระเครื่องที่ถูกค้นพบ ผมขอเล่าเรื่องราวเหตุการณ์สำคัญเกี่ยวกับสระน้ำให้ได้ทราบกัน โดยอาศัยจากข้อมูลเก่าๆในหนังสือนะโมที่คุณเฒ่า สุพรรณได้เคยเขียนไว้ เมื่อ20ปีที่แล้ว เพื่อเป็นการอนุรักษ์เรื่องราวเก่าๆ ไว้ให้คนปัจจุบันได้ทราบกัน เรื่องราวเกี่ยวกับสระในวัด ที่ผมจะนำเสนอมีดังนี้
1.ปลากัดหลวงพ่อ
ในยุคก่อน สระน้ำที่วัดนี้ ชาวบ้านจะมาอาศัยตักน้ำในสระ อาศัยเป็นน้ำกิน น้ำใช้ และสระนี้ก็เป็นที่เกรงกลัวของชาวบ้านด้วย เพราะรู้กันว่าหลวงพ่อได้ลงวิชาไว้ ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน เพราะดินในสระหลวงก็พ่อยังเอามาสร้างพระ มีศิษย์หลวงพ่อคนนึงชื่อนายฟ้อน แกชอบตีปลากัด เอาไปกัด เล่นพนันกับปลากัดของคนอื่น แพ้พนันมาตลอด นายฟ้อนได้มาหาหลวงพ่อเล่าให้ท่านฟัง หลวงพ่อสงสาร ท่านบอกให้ลองเอาปลากัดในสระของท่านไปลองสู้ดู นายฟ้อนไม่มั่นใจเท่าใด แต่ก็ลองเอาปลากัดหลวงพ่อไปแข่งกับเขา หลวงพ่อบอกว่าปลากัดของท่านหนังดี ไม่แพ้ใคร ปรากฏว่า ปลากัดหลวงพ่อหนังเหนียว โดนกัดไม่เข้า ไปสู้ไม่แพ้ใคร นายฟ้อนเอาปลากัดหลวงพ่อไปแข่งก็ชนะตลอด ได้เงินมามาก และก็แอบมาช้อนปลากัดหลวงพ่ออยู่เรื่อยๆ ต่อมาความแตก พวกนักเลงปลากัดแถวนั้นก็พากันมาช้อนปลากัดในสระ จนน้ำขุ่น น้ำเสีย ชาวบ้านไปตักน้ำมาใช้ไม่ได้ หลวงพ่อโมโหเลยสั่งห้าม คนอื่นกลัวเกรงและเชื่อฟังหลวงพ่อ ไม่มีใครกล้ามาช้อนปลากัดในสระอีก เหลือแต่นายฟ้อนคนเดียวที่ดื้อดึง ไม่ยอมฟัง แม้ยามค่ำคืนยังแอบมาคนเดียว บางครั้งหลวงพ่อยิงด้วยคันกระสุนคด แต่นายฟ้อนก็ไม่ยอมหยุด หลวงพ่อเลยพูดออกไป ว่า ไอ้นี่จะเป็นเปรตอยู่วันสองวัน ยังพูดไม่รู้เรื่องอีก ต่อมานายฟ้อน ก็ได้ล้มเจ็บและเสียชีวิต กลายเป็นเปรตจริงๆ ตอนนายฟ้อนตายใหม่ๆ มีชาวบ้านเห็นเปรตนายฟ้อนมาเดินรอบสระน้ำในวัดเป็นประจำ
เรื่องปลากัดยังมีทิ้งท้าย อีกนิด ครั้งนึงช่วงเดือนเมษายน ยามหน้าแล้ง น้ำในสระแห้งขอด ปลากำลังจะตาย หลวงพ่อสงสารปลา จึงบอกให้ชาวบ้านโดยเฉพาะพวกนักเลงปลากัด มาช่วยกันตักน้ำลงสระ แต่ไม่มีใครมาช่วยหลวงพ่อเลย หลวงพ่อเสียใจเลยบอกไปว่า ต่อไปนี้ พวกมึงอย่าได้มาเอาปลากัดในสระอีกเลย ต่อมาใครก็ตามที่เอามากัดในสระของท่านไปแข่งสู้กับเขา ปรากฏว่า ปลากัดของท่านไม่สู้อีกเลย
2.ปลัดขิกว่ายน้ำ
สมัยที่หลวงพ่อหล่อปลัดขิก หลวงตาสมาน วัดหัวเด่น สมัยเป็นช่าง เคยแอบดูหลวงพ่อเสกปลัดขิก ท่านเอาปลัดขิกตะกั่วเทใส่ลงในบาตร เสกจนปลัดขิกลอยและวิ่งอยู่ในบาตรนั้น ครั้งนึงหลวงพ่อหล่อปลัดขิกเนื้อตะกั่วผสมปรอทได้มาจำนวนหนึ่ง ทำแล้วหลวงพ่อชอบแจกให้กับมือ แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจเท่าไร หลวงพ่อคงนึกน้อยใจ ท่านเลยอุ้มบาตรลงมาที่ข้างล่าง ไปที่ศาลาโบสถ์น้ำ ขณะนั้นมีคนอยู่หลายสิบคน พอถึงสระ หลวงพ่อก็เทปลัดขิกทั้งหมดลงในสระ เดินหันหลังกลับพร้อมกับ พูดว่า ของดีๆมันไม่อยากมาขอไปใช้กัน เททิ้งน้ำให้หมด พอหลวงพ่อพูดจบ ปลัดขิกที่หลวงพ่อเททิ้งในน้ำ กลับลอยขึ้นมา วิ่งวน บางตัวว่ายวนเหมือนปลา บางตัวก็กระโดดได้ในน้ำ คนที่อยู่รอบสระพากันตกตะลึงกันไปหมด
3.วิชาจระเข้
เรื่องวิชาจระเข้นี้ เป็นการใช้วิชาบวกกับพลังจิต ที่สามารถแปลงร่างหรือทำให้คนอื่นมองตนกลายเป็นจระเข้ได้ เกี่ยวกับวิชาจระเข้นี้ มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับศิษย์หลวงพ่อสองคน ซึ่งสมัยนั้น ทั้งสองบวชเป็นพระกับหลวงพ่ออยู่ที่วัด และมีประจักษ์พยานรู้เห็นกันอยู่หลายคน หลายคนที่ประสบเหตุการณ์ครั้ง ก็ยังมีชีวิตอยู่ รวมถึงคนที่กลายร่างเป็นจระเข้ด้วยก็น่าจะยังมีชีวิตยู่เช่นเดียวกัน สองคนนั้นคือ พระจิต กับ พระกรวย
พระจิตได้มาบวชอยู่กับหลวงพ่อที่วัด วันนึงหลวงพ่อได้ใช้ให้พระจิตลงไปช่วยสางผัก กอหญ้าในสระน้ำ ซึ่งสระน้ำจะรกมาก มีพวกกอหญ้า ผักตบชวาก็เยอะ และไม่มีใครกล้าลงไปทำ นอกเสียจากเวลาที่หลวงพ่ออนุญาต คนที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น คือ ลุงเพี้ยน ม้วนหนู บ้านอยู่ใกล้วัด ขณะที่พระจิตกำลังเดินลงสระ หลวงพ่อท่านเดินตาม จากนั้น หลวงพ่อก็ผลักพระจิตลงไปในสระ เมื่อพระจิตลงน้ำ ร่างก็กลายเป็นจระเข้ เล่นน้ำตูมๆในสระ หลวงพ่อก็รีบกลับขึ้นไปบนกุฏิ เอาบาตรน้ำมนต์ลงมา พอถึงท่านก็เอาน้ำมนต์รดไปที่ร่างพระจิตที่เป็นจระเข้ พร้อมกับบอกว่า พอ พอแล้ว ผักกูเละหมด เมื่อพระจิตกลายร่างเดิม สอบถามแล้ว ขณะเกิดเรื่อง ท่านบอกไม่ค่อยรู้ตัวเองเท่าไร พระจิตบวชอยู่กับหลวงพ่อพักนึง ต่อมาได้ย้ายไปเป็นเจ้าอาวาสวัดหัวเด่น และต่อมาได้สึกออกมาแต่งงานกับลูกสาวตาเพียง คนหัวเด่นนั่นเอง
พระกรวย พ่อชื่อนายแกร คนบ้านหนองหิน อ.สรรคบุรี พระกรวยนั้น มาบวชอยู่กับหลวงพ่อ พระกรวยเป็นพี่ชายของพระกริ่ง (เจ้าของฉายา แหวกม่านกรุหลวงตากริ่ง) พระกรวยเป็นคนใจคอเด็ดเดี่ยว ถือของขึ้น ศิษย์รุ่นเก่าๆของหลวงพ่อที่สักกับหลวงพ่อมักจะปลุกวิชา ปลุกของเสมอ เช่น ตาสอน สุขนิล คนที่หลวงพ่อสักยันต์ใหญ่ให้กลางหลัง ผมเคยไปนั่งกินข้าวกับแกที่ข้างบ้าน ลูกชายบ้านนั้น เอาพระเนื้อดินหลวงพ่อกวยมาให้แกดู พอแกจับพระของขึ้นเลย กระโดดขึ้นยืน ชามข้าวกระจายเลย อีกคนคือ ตาหล่อน สมัยที่ผมไปนอนคุยกับตาที่บ้าน เช้ามากินข้าว ตาหล่อนจะอาพัดข้าวทุกครั้ง เรียกว่าถือของขึ้น ยันต์ที่ตาเคยสักให้คนไปจึงขลังและมีประสบการณ์
ย้อนมาเรื่องพระกรวย หลวงพ่อได้ให้คาถาให้พระกรวยและบอกว่าใช้แปลงร่างเป็นจระเข้ได้ พระกรวยได้ถามหลวงพ่อว่า ได้คาถาแล้วถ้าปลุกแล้วลงน้ำจะกลายเป็นจระเข้ได้ใช่ไหม หลวงพ่อก็บอกว่า ถ้ามั่นใจว่าทำได้ ก็ให้ลองปลุกดู พระกรวยเลยอยากลองโดยที่ไม่ได้บอกใคร ถอดผ้านุ่งโจงกระเบน เดินมาที่ศาลาสระน้ำ พอปลุกคาถาแล้วก็กระโดดลงน้ำ ร่างกลายเป็นจระเข้ เล่นน้ำในสระตูมๆ มีคนเห็นเหตุการณ์หลายคน ตอนนั้น ลุงทอด ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ รีบวิ่งไปตามหลวงพ่อที่กุฏิ หลวงพ่อรีบลงมาดู เรียกพระกรวย ก็ไม่ขึ้นมา เป็นร่างจระเข้กบดานในน้ำ ท่านจึงรีบขึ้นไปทำน้ำมนต์ แล้วลงมาอีกครั้ง พร้อมกับบาตรน้ำมนต์ ครั้งนี้หลวงพ่อใช้อาคมเรียกพระกรวยขึ้นมา พอร่างจระเข้ลอยขึ้นมา หลวงพ่อจึงรดน้ำมนต์ พระกรวยกลายร่างเป็นคนแบบไม่ค่อยได้สติ หลวงพ่อเลยทำน้ำมนต์รดไปอีกสองบาตร และสอนไม่ให้ปลุกคาถาอีก และท่านก็เตือนว่าถ้าช่วยไม่ได้จะลำบาก ตอนเกิดเรื่อง พระกริ่งน้องชายของพระกรวย บวชอยู่วัดเจีย์ อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี
เรื่องราวของพระกรวย ที่กลายร่างเป็นจระเข้ กับพยานรู้เห็นเหตุการณ์ ท่านสามารถติดตามชม เรื่องราวบทสัมภาษณ์ได้ที่ยูทูป ตามลิงค์ด้านล่าง ที่จัดทำโดยคุณไตรพล นาคสมบูรณ์
https://www.youtube.com/watch?v=a5MEvImKdoA4.วิชาสัก
จากคำบอกเล่าของศิษย์หลวงพ่อยุคเก่าๆ เช่น ลุงทอด ลุงเยื้อน ลุงสมาน อาจารย์เตี้ย วัดสามเอก เป็นเรื่องราวสั้นๆ ว่า สมัยก่อนคนที่สักยันต์ อาบว่านยากับหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อจะให้กระโดดลงสระ โดยหลวงพ่อออกอุบายว่า ลงไปชุบตัว จริงๆแล้ว เป็นการลองวิชาของท่าน คือในสระท่านจะให้คนเอาขวากไปปักไว้เต็มไปหมด หลวงพ่อท่านมั่นใจในวิชาของท่านมาก ถ้าไม่ขลังจริง คนที่กระโดดลงสระต้องได้แผล ได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน
นับว่าสระน้ำศักดิ์สิทธ์นี้ มีตำนานเล่าขานมาคู่กับวัดหลวงพ่อมาช้านาน เลยทีเดียว เกี่ยวกับเรื่องที่หลวงพ่อเทปลัดขิกทิ้งลงสระ สมัยที่หลวงพ่อเริ่มดัง บางคนที่เคารพศรัทธาหลวงพ่อ มากราบร่างหลวงพ่อที่วัด บางคนจะให้ผู้หญิงมานั่งอธิษฐาน เอามือแกว่งน้ำ เรียกให้ปลัดขิกลอยขึ้นมา เพราะเชื่อกันว่าปลัดขิกหลวงพ่อชอบผู้หญิง คงหวังให้ปลัดขิกลอยขึ้นมา จะได้ดักเอาไปใช้ บางคนก็มาขอเอาดินในสระไปสร้างพระ