tongn005
Administrator
Hero Member
ออฟไลน์
กระทู้: 9,222
singhakhakha@hotmail.com
|
|
« เมื่อ: 23 มกราคม 2010, 05:47:16 PM » |
|
ขุนสรรค์ วีรบุรุษแห่งลุ่มแม่น้ำน้อย
ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะเสียให้แก่พม่าในครั้งที่ 2 พ.ศ.2308 พม่าได้ส่งกองทัพมา 2 กอง มีมังมหานรธา และเนเมียวสีหบดี เป็นแม่ทัพ พอมาถึงเมืองวิเศษชัยนาญ สิงห์บุรี, สรรคบุรี ทหารพม่าก็ปล้นสะดอเอาทรัพย์สินของชาวบ้าน ถ้าเจอลูกสาวไหนสวยก็ฉุดคร่าเอาไปเป็นเมีย เลือดของคนไทยผู้รักชาติแม่จะไม่ได้เป็นทหารก็สุดจะทนทานลูกผู้ชายฆ่าได้หยามไม่ได้ (ลูกผู้หญิงกินได้จ่ายไม่ได้) นายดอก คนบ้านกลับ, นายทองแก้ว คนบ้านโพธิ์ทะเล จึงได้ร่วมมือกับมักสู้จากบ้านศรีบัวทอง แขวงเมืองสิงห์บุรี คอืนายแท่น, นายโชติ, นายอิน, นายเมือง ซึ่งได้สาบานกันว่าจะร่วมเป็นร่วมตายสู้กับพม่า ทั้ง 6 คน ได้ลวงพม่าไปฆ่าตายซะ 20 คน จากนั้นทั้ง 6 คน ได้ทราบข่าวว่าคนไทยได้ร่วมตัวกันอยู่ที่ค่าบางระจัน โดยได้นิมนต์ท่านพระอาจารย์ธรรมโชติ จากวัดเขานางบวช หรือวัดเขาขึ้น อ.เดิมบางนางบวช จ.สุพรรณบุรี มาเป็นขวัญกำลังใจ ณ ที่นี่เองได้มีคนไทยที่มีฝีมือพาสมัครพรรคพวกมาอยู่ก่อนแล้ว 5 คน คือ ขุนสรรค์, พันเรือง, นายทองเหม็นนายจันทร์หนวดเขี้ยว, นายทองแสงใหญ่ เมื่อทั้งหมดได้พูดคุยกันแล้วก็จับมือรวมตัวกันได้ 11 คน ล้วนแล้วแต่ระดับครูดาบ ครูปืนทั้งสิ้น ทั้งผู้นำและชาวบ้านได้ก่อสร้างค่ายขึ้นด้วยไม้ระเนียด ความแค้นที่ทหารพม่าถูกฆ่าตายถึง 20 คนนี้เอง เนเนียวสีหบดี จึงได้ส่งกองทัพมาตีค่ายบางระจัน ทุกทั้งจะส่งทหารพม่ามามากกว่าเป็นห้าเท่า แต่ชาวบ้านบางระจันผู้ไม่รักตัวกลัวตาย ได้ต่อสู้กลับทหารพม่าที่ส่งมาถึง 4 ครั้ง แตกกระจาย แม่ทัพนายกองตายแทบทุกคน ในครั้งที่ 4 นี้เอง ตัวนายแท่นได้ถูกปืนของพม่าตรงหัวเข่า นายแท่นจึงมอบหมายให้นายจันทร์หนวดเขี้ยว, ขุนสรรค์ และนายทองเหม็น เป็นผู้นำทัพ การสู้รบครั้งที่ 5 เริ่มรุนแรงมากขึ้น แต่พม่ากลับพ่ายแพ้ไป ครั้งที่ 6 และครั้งที่ 7 เป็นการสู้รบที่ดุเดือดและรุนแรงมาก เขาว่านายทองเหม็นบ่าบิ่นที่สุด ขี่ควายสู้กับพม่า หนังเหนียวขนาดโดนยิงร่วงจากหลังควาย ยังใช้ขวานอันโต 2 เล่ม สู้กับพม่าต่อ แถมโดดขึ้นหลังควายสู้ต่อ ส่วนขุนพรรค์นั้นเป็นกองหน้า ใช้ปืนยิงทหารพม่า ส่วนนายจันทร์หนวดเขี้ยวเป็นทัพหลัง การสู้รบในครั้งที่ 7 เป็นการสู้รบที่รุนแรงที่สุดและได้ชัยชนะงดงาม จนกระทั่งปี 2309 เนเมียวสีหบดี ก็ยังปราบชาวบ้านบางระจันไม่ได้ จนกระทั่งมีชาวมอญคนหนึ่ง มาอาสานำทัพสู้กับชาวบ้านบางระจัน ชาวมอญคนนี้เดิมอยู่ในประเทศไทย มีสมัครพรรคพวกพอสมควร ได้ไปอาสารบกับเนเมียวสีหบดี โดยคัดเลือกทหารเอง ถึง 2,000 คน ชาวมอญผู้นี้ไม่ได้ปรากฏชื่อ รู้แต่ตำแหน่งชื่อ สุกี้ (ตำแหน่งนายกองใหญ่) สุกี้เป็นแม่ทัพที่ฉลาดได้นำปืนใหญ่มาด้วย และรู้ว่าคนไทยชอบรบในที่แจ้ง เขาจึงเดินทัพพม่าช้าๆเพื่อป้องกันการแย่งชิงปืนใหญ่ เมื่อมาได้ระยะปืนใหญ่ เขาได้ตั้งค่ายปืนใหญ่อย่างแน่นหนา และระดมยิงปืนใหญ่มาที่ค่ายบางระจันผู้คนล้มตาย บ้างก็หนีไป ค่ายก็แตกต้องช่วยซ่อมอยู่เรื่อย วันหนึ่งนายทองเหม็นทนไม่ไหว กินเหล้าเข้าไป ได้เอาเหล้าให้ความกินด้วย ไดสั่งกำลังในส่วยตัวของตนบุกตะลุยตีค่ายของสุกี้ ผลคือ น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ตัวนายทองเหม็นนี้หนังเหนียวยิ่งนัก ประกอบกับสุกี่เห็นทหารมีน้อย จึงปิดประตูตีแมว (เปิดแล้วปิด) ได้รุมทุบนายทองเหม็นจนถึงแก่ความตาย วันต่อมา ขุนพรรค์กับนายจันทร์หนวดเขี้ยว สุดจะทนต่อการยิงปืนของพม่าได้ จึงได้ยกกำลังออกไปต่อสู้ โดยมีขุนพรรค์กับพลปืนเป็นแนวหน้า นายจันทร์หนวดเขี้ยวเป็นแนวหลัง การสู้รบแบบประจัญบานได้เกิดขึ้น แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ เล่ากันว่า ขุนพรรค์ยืนคอตาย คือหัวใจวายตาย หมดแรงโดนทุบตาย ส่วนนายจันทร์หนวดเขี้ยวได้พยายามสุดๆ ที่จะฆ่าสุกี้นายกองให้ได้ แต่ก็ถูกรุมแทงตาย 3 ผู้นำ 3 คนหลังนี้ตายตาไม่กะพริบ ไม่เกรงพม่าแม้แต่น้อยเดียว หลังจากนั้นพม่าก็ระดมยิงปืนใหญ่เข้าไปในค่าย ผู้นำคนที่เหลือก็ได้ต่อสู้จนตัวตายชาวบ้านบางคนก็หนีไป ส่วนท่านอาจารย์ธรรมโชติ ได้กลัววัดนางบวชหรือวัดเขาขึ้น เล่ากันว่า ทหารพม่าก็ตามมาแต่ไม่พบ เพราะอุโบสถบนยอดเขาขึ้นนั้น ด้านหลังเป็นถ้ำ (หลังพระพุทธรูป) และมีทางลงไปเชิงเขา ปัจจุบันที่เชิงได้ถูกคนลับแลปิดปากถ้ำแล้ว เล่ากันว่า สมัยก่อนเวลามีงานชาวบ้านจะมาขอยืม ถ้วย, โถ, ชาม จากในถ้ำนี้แม้แต่กำไลแขน กำไลข้อมือ สร้อยสวมคอก็มี ภายหลังคนเกิดความโลภไม่นำมาคืน คนลับแลเลยปิดปากถ้ำ (ทางเข้าถ้ำต้านตีนเขา) กาลเวลาผ่านไป 200 ปีเศษ แต่คนเมืองสรรค์ก็ไม่เคยลืมขุนพรรค์ วีรบุรุษของพวกเขา ต่างจดจำและเล่าขานรวมทั้งมีการจดบันทึกเอาไว้ อยู่ต่อมาทางค่ายบางระจันได้สร้างอนุสาวรีย์ผู้นำชาวบ้านบางระจันที่ค่ายบางระจัน ต่อมาท่านนายอำเภออุทัย อนันตสมบูรณ์ (อดีตนายอำเภอสรรบุรี) ได้เป็นผู้นำในการก่อสร้างอนุสาวรีย์ขุนพรรค์โดยสร้างเหรียญพระครูพิมพ์หันหลังชนกันกับขุนพรรค์ เพื่อนำมาจำหน่ายและจะได้เป็นทุนในการสร้างรูปหล่อใหญ่ส่วนรูปหล่อขนากบูชา คงสูงประมาณ 5 นิ้ว สร้างเฉพาะผู้สั่งจอง ปัจจุบันมีราคาแพงมาก หาคนปล่อยออกได้ยากเรื่องการสร้างอนุสาวรีย์ขุนพรรค์นั้น ก็ต้องยกความดีให้ท่านนายอำเภออุทัย อนันตสมบูรณ์ ในวันเบิกพระเนตรหรือเชิญดวงวิญญาณขุนพรรค์นั้น ได้ทำพิธีบวงสรวงอย่างดีได้ทำนั่งร้านขึ้นไป พระครูพิมพ์เป็นผู้เชิญดวงวิญญาณในวันนั้นมีเกจิอาจารย์ในสรรคบุรีเกือบ 10 องค์ ได้จับชายผ้าจีวร, จับขา ส่งจิตไปช่วย รูปนี้ได้ถ่านไว้เป็นรูปที่สวยงามมาก (ที่กองดับเพลิงเทศบาลมี 1 รูป
สุกี่นายกองที่สามารถตีค่าบางระจันแตกนั้น ตัวสุกี้ไม่ได้เก่งกาจอะไรสักเท่าไรเลย เพียงแต่มีสมอง (ใช้สมองกับปืนใหญ่) หลังจากค่ายบางระจันแตก กรุงศรีอยุธยาก็เสียให้แก่พม่าในเวลาต่อมา สุกี้ได้รับแต่งตั้งให้อยู่ดูแลกรุงศรีอยุธยา ที่ค่ายโพธิ์ 3 ต้น (อยู่ อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา) เพื่อเก็บรวบรวมทรัพย์สมบัติที่เหลือ ส่งไปพม่า ต่อมาไม่นาน พระยาตาก (พระเจ้าตากสิน) พร้อมทหารคู่ใจคือหลวงพิชัยอาสา ได้กอบกู้บ้านเมืองหลวงพิชัยอาสา (พระยาพิชัยดาบหัก) ได้ตีค่ายโพธิ์ 3 ต้น แตกอย่างง่ายดาย สุกี้ได้ยอมแพ้ แต่ความผิดของสุกี้ใหญ่หลวงนัก หลวงพิชัยอาสาจึงสั่งตัดคอทิ้ง
|